google search

Google

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่เลย

clock

ปฏิทิน

Blog Archive

เทคโนโลยีทันสมัย

ภาพถ่ายนักเรียนน่ารักๆ-วัยรุ่น-นักศึกษา-นางแบบ-ดารา

สาวสวยเซ็กซี่-สาวน่ารัก

วิทยาศาสตร์

รูปแปลก-ภาพแปลก-ภาพขำขำ

เรื่องน่ารู้ทั่วไป

สัตว์บก-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ -สัตว์น้ำ -สัตว์ปีก -สัตว์เลื้อยคลาน -สัตว์ในวรรณคดี

BlogRoll

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน

จระเข้ประหลาดในยุคครีเตรเซียส

Miami : สวรรค์...หรือดินแดนอาชญากรรม

ไขปริศนาปลาพญานาค

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ

การกลับมาของ "อเล็กเซย์" เมื่อราชวงศ์โรมานอฟได้คืนชีพ ?!

ปลาหมึกยักษ์ อสูรร้ายใต้สมุทร

แกะปมปริศนาลำแสงมรณะของอาร์คิมิดีส

ความเชื่อในสิ่งลึกลับ : หมอผีวูดู

นอสตราดามุส ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

ตำนานแม่มดแห่งเมือง Blair

flag

free counters

เรียวมะ ซาคาโมโต : บุรุษทรนง

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

ตำนานมนุษย์หมาป่า

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

การกลับมาของโรคระบาด

ตามหา"ไอ้ตีนโต" มนุษย์วานรดึกดำบรรพ์

มหันตภัยธรรมชาติในอนาคต

มังกรมีจริงหรือเพียงแค่ตำนาน ?

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

ปริศนารูปถ่ายของยูนิคอร์น

ภาพถ่ายวิญญาณจากต่างแดน

ภาพถ่ายวิญญาณ (ภาค2)

ภาพถ่ายศพนางเงือก

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพถ่ายวิญญาณ

เรื่องสยองที่ abac

ภาพถ่ายวิญญาณของไทย

ผีในการท่องเที่ยว

ซุปเด็กสุดสยอง

สิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ของโลก

ตัวอะไรเนี่ย

photo หน้า...น่าเกลียด

15 โรงแรมแปลก แหวกแนวสุดยอด

''โคลอสเซียม'' : สังเวียนแห่งความตาย

1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่

เปิดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ

อาถรรพณ์ปูโสม : วิญญาณเฝ้าทรัพย์

นักเล่านิทานบันลือโลก

มัมมี่แห่งศตวรรษที่ 21

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเหตุใด ?

ผู้ติดตาม

friend

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553



















































เว็บโฮสติ้ง คือ พื้นที่การใช้งานในอินเทอร์เน็ต โดยการเช่าพื้นที่ ฮาร์ดดิสก์ในเครื่อง Server ของผู้ให้บริการ โดยเครื่อง Server นี้จะเชื่อมต่อ Internet ความเร็วสูง และ online 24 ชม.
สำหรับเว็บไซต์ทั่วไป โฮสติงมีลักษณะที่เปรียบเทียบได้เหมือนกับ ฮาร์ดดิสก์ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ฉะนั้นถ้าคุณมีพื้นที่การใช้งานโฮสติ้งที่มาก คุณก็จะสามารถเก็บ ไฟล์, รูปภาพ, เอกสาร และอื่นๆ ได้มากตามไปด้วยเช่นกัน บางครั้งเราอาจเรียกได้หลายแบบเช่น โฮสติง โฮสติ้ง เว็บโฮสติง โฮส แต่ทั้งหมดก็มีความหมายเหมือนกัน
เว็บโฮสติ้ง มี 2 แบบ คือ Windows Hosting และ Linux Hosting โดยแยกตามระบบปฏิบัติการ (OS) ที่ตัวเว็บโฮสติ้งใช้งาน ซึ่งมีอยู่ 2 ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานคือ Microsoft Windows Server และ Linux
ความแตกต่างระหว่างระบบปฏิบัติการ 2 ระบบนี้ คือ ตัว Windows Hosting สามารถใช้งานได้กับเว็บไซต์ที่เขียนโดยภาษา ASP ,ASP.net และ PHP ได้ ในขณะที่ตัว Linux Hosting สามารถใช้งานกับเว็บไซต์ที่เขียนโดยภาษา PHP ได้เท่านั้น
แต่หากเว็บไซต์ของคุณเขียนโดยใช้ HTML ก็สามารถเลือกใช้เว็บโฮสติ้งได้ทั้ง 2 แบบ โดยที่การแสดงผลของทั้ง 2 ระบบไม่ต่างกัน แต่แนะนำให้ใช้เป็น Linux Hosting เพราะจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า

1. ยอมรับความจริง
ไม่มีใครพูดภาษาที่สองได้ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าจะต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น
2. เรียนรู้ทีละนิด
จากการศึกษาพบว่า การทบทวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ อย่างเช่น ในระหว่างทานอาหารเช้า ในขณะอาบน้ำ หรือในขณะเดินทาง จะส่งผลให้คุณจดจำได้ดีกว่า
3. ท่องศัพท์
ยิ่งคุณรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถพูดและเข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น เทคนิคในการจดจำคำศัพท์ คือ พกการ์ดใบเล็กๆ ที่เขียนคำศัพท์ (ที่มีคำแปลอยู่ด้านหลัง) ไปกับคุณทุกที่
4. ฝึกหัดอย่างจริงจัง
อย่าแค่ทำปากขมุบขมิบหรือท่องเอาไว้ใส่ใจ พูดหรืออ่านออกมาดังๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อจะได้ฝึกปากของคุณให้เคยชินกับการออกเสียง
5. ทำการบ้าน
การทำการบ้านคือการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาให้เป็นไปอย่างแม่นยำ จนกลายเป็ความชำนาญ และสามารถทำออกมาได้อย่างอัตโนมัติในที่สุด
6. จับกลุ่มเรียน
หาเวลาทบทวน ทำการบ้าน หรือแค่ฝึกพูดภาษานั้นๆ กับเพื่อนๆ เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องให้กันและกันได้ แถมยังทำคุณจดจำได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย
7. หาจุดอ่อน
คุณควรหาจุดอ่อนในการเรียนของตัวเองให้เจอ เพื่อที่จะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ก็บังคับตัวเองให้เลือกที่นั่งแถวหน้าในห้องเรียนซะ
8. หาโอกาสในการใช้ภาษา
เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับภาษานั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเจ้าของภาษาเช่าหนังที่พูดภาษานั้นๆ มาดูหรือแม้กระทั่งหาแฟนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นซะเลย
9. ทุ่มความสนใจ
พูดง่ายๆ ก็คือ หายใจเข้าออกก็ให้เป็นภาษานั้น เรียนรู้ภาษานั้นๆ ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างจริงจังและเต็มที่ ถึงขนาดถ้าฝันได้ก็อาจฝันเป็นภาษานั้นๆ ด้วย
10. ปรึกษาผู้รู้
ถ้ามีปัญหาหรือติดขัดอะไร ก็ต้องสอบถามครูผู้สอนหรือเจ้าของภาษานั้นทันที เพื่อทำลายกำแพงที่เป็นอุปสรรคในการเรียนออกไปให้เร็วที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องสะดุดอยู่นานเกินไป ซึ่งอาจทำให้คุณเกิดความเบื่อหน่ายได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.kroobannok.com
โรงอุปรากรการ์นิเยร์ ในกรุงปารีส
เป็นตัวอย่างสิ่งก่อสร้างลักษณะที่ใช้คตินิยมสรรผสาน



คตินิยมสรรผสาน (Eclecticism) คือแนวการสร้างสรรค์ที่มิได้ยึดมั่นถือมั่นในปรัชญาใดปรัชญาหนึ่งอย่างแน่วแน่ แต่จะดึงจากทฤษฎี ลักษณะ หรือ ความคิดต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจในหัวเรื่อง หรือใช้ทฤษฎีต่างๆ ในบางกรณี

บางครั้งรูปงานที่ออกมาก็จะดูขาดความสง่างาม หรือขาดความเรียบง่าย และบางครั้งก็ได้รับการวิจารณ์ว่าขาดความสอดคล้องกันทางด้านความคิด

แต่กระนั้นคตินิยมสรรผสานก็เป็นปรัชญาที่นิยมใช้กัน ในการศึกษาสาขาวิชาต่างๆ เช่นนักจิตวิทยายอมรับพฤติกรรมด้านต่างๆ แต่มิได้พยายามใช้ทฤษฎีนี้ในการให้คำอธิบายพฤติกรรมทุกด้านของมนุษย์เป็นต้น


ที่มา

คตินิยมสรรผสานบันทึกเป็นครั้งแรกว่า ใช้กันโดยนักปรัชญาโบราณ ที่ไม่อ้างตนว่ายึดอยู่กับปรัชญาความคิดใดความคิดหนึ่ง

แต่จะเลือกจากแนวคิดของปรัชญาต่างที่มีอยู่ ที่มีเหตุผลและเหมาะกับตนเอง จากแนวความคิดนี้นักปรัชญาก็สร้างระบบปรัชญาของตนเองขึ้นใหม่

คำว่า “Eclecticism” แผลงมาจากภาษากรีกโบราณว่า “eklektikos” ที่แปลว่า เลือกสิ่งที่ดีที่สุด

นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักกันว่าเป็นนักปรัชญาสรรผสานของปรัชญากรีก ก็ได้แก่เซโนแห่งซิเทียมผู้ริเริ่มลัทธิสโตอิก พาเนเชียส และ โพซิโดเนียส และ คาร์เนดีส และ ฟิโลแห่งลาริสสาผู้ริเริ่มสถาบันเพลโตที่สาม

ในบรรดานักปรัชญาโรมันก็ได้แก่ซิเซโรผู้ที่ถือว่าเป็นนักปรัชญาสรรผสานแท้ผู้รวมปรัชญาเพริพาเททิค สโตอิกและ สถาบันเพลโตใหม่เข้าด้วยกัน

นอกจากนั้นก็ยังมีมาร์คัส เทเรนเทียส วาร์โร และ เซเนคาผู้เยาว์


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ใช้ปากแทะผลไม้ระวัง “คอบวม” จากสารเคมีตกค้าง


กระทรวงสาธารณสุข เผยมีประชาชนจำนวนมากยังรับประทานผลไม้ไม่ถูกวิธี โดยผู้ที่นิยมใช้ปากปอกเปลือกผลไม้แทนมือหรือไม่ล้างให้สะอาดก่อน ระวังคอบวมเพราะสารเคมีตกค้างหรือติดเชื้อที่ปนเปื้อนที่เปลือกผลไม้ระหว่างขนส่งหรือวางจำหน่าย



นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังเป็นฤดูกาลของผลไม้ประเทศไทย โดยผลไม้ทั่วไปนั้นมีชนิดที่บริโภคได้ทั้งเปลือก เช่น ฝรั่ง และชนิดต้องแกะเปลือกออกก่อนบริโภค เช่น ทุเรียน กล้วย ลำไย เงาะ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ายังมีชาวไทยบางกลุ่มที่บริโภคผลไม้ไม่ถูกต้อง โดยใช้ปากกัดเปลือกผลไม้แทนการใช้มือปอกเปลือกหรือแกะเปลือกออก ทำให้บางครั้งอาจได้รับสารตกค้างที่ติดมากับเปลือกผลไม้ได้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ผู้ปกครองควรเอาใจใส่เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเด็กมักไม่ได้เรียนรู้หรือไม่ค่อยคำนึงถึงความปลอดภัยในเรื่องนี้ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีชาวต่างชาติบริโภคลำไยไม่ถูกต้อง แทนที่จะใช้มือแกะเปลือก แต่ใช้ปากกัดเปลือกออก ทำให้ได้รับสารตกค้างได้

นางนิตยา กล่าวต่อว่า สำหรับลำไยเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด หลังรับประทานอาจทำให้ร้อนใน ตาแฉะ เจ็บคอ บางครั้งอาจรู้สึกเหนอะหนะอยู่ในลำคอ เนื่องจากในลำไยมียาง หากกินมาก ๆ อาจระคายเคืองหลอดอาหาร กลืนอาหารไม่ลงและรู้สึกเจ็บภายในลำคอ คอบวม ซึ่งการเกิดคอบวมนั้นอาจเกิดมาจากการระคายคอ หรือการ ติดเชื้อโรคที่ปนเปื้อนติดเปลือก ขณะขนส่งหรือวางจำหน่ายได้ ทั้งนี้ การรับประทานลำไยให้ปลอดภัยนั้น ก่อนรับประทานควรล้างเปลือกด้วยน้ำสะอาดก่อน เพื่อชำระสารปนเปื้อนที่ติดมากับเปลือกลำไยออกไป และอาจใช้ปากกัดเปลือกออกได้ และวิธีที่ 2 อาจแกะเปลือกออกและแช่น้ำเกลือเจือจางทั้งหมด เพื่อล้างยางออก จะเห็นได้ว่าหลังปอกผลไม้แทบทุกชนิด คนไทยจะล้างยางออกด้วยน้ำมาแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง มะปราง เงาะ เป็นต้น

“หากรู้สึกเจ็บคอหลังรับประทานลำไย สามารถแก้ไขได้โดยจิบน้ำอุ่น ๆ ชั่วโมงละ 5 ครั้ง หรือมากกว่านั้น และรับประทานอาหารเหลวอุ่น ๆ แทน เพื่อลดการระคายเคือง สำหรับการแก้ปัญหาสารตกค้าง เช่น ยาฆ่าแมลงในผักผลไม้สดทั่วประเทศ ขณะนี้มีความคืบหน้ามาก ล่าสุดในเดือนสิงหาคมการปนเปื้อนลดลงจากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 7 ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ประชาชนล้างผักผลไม้ก่อนบริโภคด้วยน้ำสะอาดก่อนทุกครั้ง” นางนิตยา กล่าว




ที่มา : manager
ปัญหาเด็กวัยรุ่นยกพวกตีกันมีให้เห็นตลอด ไม่ว่าในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด แต่ที่เป็นข่าวให้เห็นอยู่เป็นระยะ คงจะหนีไม่พ้นสถานศึกษาบางแห่ง ที่ทำร้ายกันถึงขั้นเสียชีวิต เลือดตกยางออก ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า ทำไมวัยรุ่นเหล่านี้มีพฤติกรรมรุนแรงกว่าคนอื่น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พญ.วิมล รัตน์ วันเพ็ญ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอก ว่า การทะเลาะวิวาทยกพวกตีกันของวัยรุ่น เกิดจากหลายปัจจัย คือ

ปัจจัยแวดล้อมภายนอก ได้แก่ สภาพครอบครัว ระบบการศึกษา และสังคม ที่สร้างความกดดันให้กับเด็กหรือวัยรุ่น เช่น การบังคับหรือลงโทษ กวดขันอย่างเข้มงวด ปิดกั้นไม่ให้อิสระ การถูกตำหนิหรือต่อว่าจากสังคม การปล่อยปละละเลยทอดทิ้งหรือในทางตรงข้ามการประคบประหงมจนเกินเหตุ รวมทั้งสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงรอบด้านที่เด็กเห็นจน ชินชา ล้วนเป็นสาเหตุให้เด็กเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงใช้กำลังในการแก้ปัญหาได้ ทั้งสิ้น

ปัจจัยภายใน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การเปลี่ยนแปลงด้านฮอร์โมนพื้นฐานอารมณ์ เช่น อารมณ์ร้อน อารมณ์เย็น หรือหวั่นไหววิตกง่าย ซึ่งติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิดที่สำคัญวัยรุ่นขาดการเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งเมื่อใดที่เด็กหรือวัยรุ่นมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองและถูกดูแคลนว่า ด้อยความสามารถ พวกเขาก็จะแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจทั้งจากสังคมทั่วไปและจากภายใน กลุ่มเพื่อน ซึ่งการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย ยกพวกตีกัน เป็นวิธีการหนึ่งที่คิดและทำได้ง่าย ทำให้รู้สึกเด่นดัง เพื่อนเห็นความสามารถและได้รับการยอมรับ

นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างความอึดหรือความอดทนกับความก้าวร้าวของเด็ก ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก เพราะเมื่อไม่ได้อะไรดั่งใจ ทนไม่ได้ อึดน้อย ก็ต้องระบายออกถึงความ ผิดหวัง เสียใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะแสดงความก้าวร้าวรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน อาจโวยวาย ด่าว่า ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้อื่น

ครอบครัว โรงเรียน และ ชุมชน จึงต้องฝึกความอึดหรือความอดทนให้กับเด็กโดยไม่ตามใจหรือช่วยเหลือมากเกินไป ควรให้พวกเขาเจอกับปัญหาอุปสรรคบ้าง เพื่อให้รู้จักการแก้ปัญหาด้วยตนเอง รู้จักการควบคุมอารมณ์ มีความอดทนในการรอคอย มีระเบียบวินัยในตนเอง ก่อนที่เขาจะแสดงความก้าวร้าวรุนแรงเกินเหตุจนกลายเป็นอาชญากรที่เราคาดไม่ ถึง

วิธีการสังเกตว่า เด็กวัยรุ่นจะมีแนวโน้มเป็นคนก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหรือไม่นั้น นอกจากการสังเกตได้ง่ายจากเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมด้านอารมณ์อยู่แล้ว เช่น ชอบก่อกวน โหดร้ายทารุณสัตว์ ชกต่อย ทำร้ายร่างกายตนเองและผู้อื่น ทำลายข้าวของ ขู่คุกคาม ไม่เคารพกฎระเบียบต่าง ๆ เด็กหรือวัยรุ่นที่เก็บตัว เก็บกด ไม่เคยได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างเหมาะสม ก็เป็นกลุ่มเด็กที่น่าเป็นห่วงและควรเฝ้าระวังด้วย เช่นกัน เพราะมีโอกาสที่จะแสดงความก้าวร้าวรุนแรง เป็นอันตรายต่อตนเอง คนรอบข้าง และสังคมได้ทุกเมื่อ

ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น จะโยนความผิดให้เด็กเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ก่อนอื่น ต้องแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นปัญหามาก เป็นหัวโจก ปลุกระดม กับกลุ่มเด็กปกติหรือกลุ่มเด็กที่มีแนวโน้มจะก่อ ความก้าวร้าวรุนแรง ในกลุ่มที่เป็นปัญหามาก อาจต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายมาช่วยแก้ ซึ่งจะเป็นหนทางหนึ่ง ในการฝึกความอดทนและเป็นระเบียบวินัย ให้เด็กเกิดการยอมรับว่าเขา ทำผิดก็ต้องได้รับผลจากการกระทำความผิดนั้น ทั้งนี้ ในระบบกฎหมายจะมีเรื่องการฟื้นฟูจิตใจให้ดี ขึ้น ทั้งการปรับพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อให้ผู้กระทำผิดออกมาเป็นคนดีของสังคมได้ ซึ่งครอบครัว ชุมชน สังคม ก็ต้องให้การยอมรับ ไม่ตีตรา ตอกย้ำ ดูถูกเหยียดหยามถึงความผิดของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีโอกาสที่จะปรับตัว สามารถกลับมาเป็นคนดีของสังคมได้

ส่วนเด็กกลุ่มปกติหรือมีความเสี่ยง ก็ควรมีการส่งเสริมป้องกัน โดยมีพื้นที่ให้เด็กหรือวัยรุ่นได้ทำกิจกรรมที่เสริมสร้างคุณค่าให้กับตัว เองมากกว่าการคอยห้ามปรามหรือตำหนิพวกเขา

ในส่วนของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เข้าใจธรรมชาติของเด็ก ช่วยพวกเขาหาตัวตนให้ได้ พัฒนาอีคิว โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ การเสริมทักษะชีวิตมีกิจกรรมเสริมให้เรียนรู้ถึงผลที่จะได้รับจากการใช้ความ รุนแรงในการแก้ไขปัญหา กิจกรรมฝึกความอดทน แยกแยะความถูกผิด รู้จักการให้อภัย สร้างระเบียบวินัยให้ตนเองได้ ที่สำคัญต้องเป็นเพื่อนกับเด็ก ใส่ใจพูดคุย มากกว่าดุด่า หรือออกคำสั่งเพียงอย่างเดียว

สำหรับเด็กและกลุ่มเพื่อน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างคุณค่าในตัวเองและช่วยลดปัญหาความรุนแรงที่ เกิดขึ้นได้อีกด้วย โดยการปลูกฝังความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน คอยเตือนกันเมื่อเพื่อนจะทำผิด ชักจูงเพื่อนให้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ตลอดจนร่วมกันสร้างสรรค์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่เกิดจากความต้องการของตัวเด็กเอง
สีของฟันตามธรรมชาติ

ตามปกติฟันน้ำนมจะมีสีค่อนข้างขาว ส่วนฟันแท้มักมีสีค่อนข้างเหลืองเล็กน้อย สีของฟันแท้จะไม่ขาวเท่ากับฟันน้ำนม ในบางคนอาจมีสีเหลือง หรือออกเทา จนถึงน้ำตาลเข้ม เนื่องจากการมีคราบฟัน

คราบฟันเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ

1. คราบที่เกิดจากตัวฟัน เป็น คราบที่เกิดขึ้นในชั้นระหว่างเคลือบฟันและเนื้อฟัน เกิดเนื่องจากมีความผิดปกติของการสร้างฟัน เช่น ขณะมีการสร้างฟันร่างกายอ่อนแอ การได้รับสารฟลูออไรด์มากเกินไป หรือการได้รับยาปฏิชีวนะบางอย่าง เช่น เตตร้าไซคลิน มีผลทำให้ฟันเปลี่ยนสี

2. คราบที่เกิดจากภายนอกฟัน คือคราบ ที่เกาะอยู่ภายนอกผิวเคลือบฟัน เกิดขึ้นเนื่องจากคราบหินปูน การบริโภคอาหาร เช่น กาแฟ น้ำชา อาหารที่มีเครื่องเทศมากๆ หรือบริโภคสิ่งแปลกปลอม เช่น สูบบุหรี่ คราบภายนอกฟันนี้สามารถขัดออกได้ แต่คราบฟันที่เกิดจากภายนอกมักจะติดแน่นกับเคลือบฟัน
การแปรงฟันอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดคราบเหล่านี้ออกไปได้ ต้องใช้วิธีขัดฟันด้วยเครื่องมือร่วมกับผงขัด ซึ่งการขัดคราบที่เกิดจากอาหารใช้เวลาขัดไม่มากนัก แต่คราบที่เกิดจากบุหรี่ หรือหินปูนจะใช้เวลาขัดมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของคราบที่สะสมอยู่

คราบสีบนฟันอาจมีสีต่างๆ ได้แก่

คราบสีน้ำตาล เกิด กับผู้ที่แปรงฟันไม่สะอาดหรือไม่ใช้ยาสีฟันช่วยในการแปรงฟัน พบได้ตามบริเวณผิวฟันกรามบนด้านกระพุ้งแก้ม และบริเวณผิวด้านลิ้นของฟันหน้าล่าง

คราบบุหรี่ มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เกิดจากสารจำพวกทาร์ที่มีอยู่ในยาสูบ และมักติดอยู่ตามหลุมร่องบนผิวเคลือบฟัน

คราบสีดำ มีลักษณะเป็นเส้นสีดำบางๆ มักเกิดบริเวณขอบเหงือกและรอยต่อของฟันแต่ละซี่ ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์

คราบสีโลหะ เกิด จากการรับประทานยาที่มีส่วนผสมของโลหะ หรือการหายใจเอาฝุ่นธาตุของโลหะเข้าไป เช่น ทองแดงทำให้เกิดคราบสีเขียว เหล็กทำให้เกิดคราบสีน้ำตาล

ฟันเหลือง ที่เกิดจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อฟัน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นความผิดปกติในชั้นเคลือบฟัน หรือเนื้อฟัน หากว่าฟันเปลี่ยนไม่มากนักที่ชั้นเคลือบฟันก็ควรปล่อยทิ้งไว้ และดูแลอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอแล้ว

ปัจจุบันมีวิธีการฟอกสีฟันให้ขาวเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของฟันที่เปลี่ยนสีได้ แต่พบว่าสามารถใช้ได้ผลดีที่สุดกับฟันที่มีสีเหลือง ส่วนการฟอกฟันที่ออกสีน้ำตาล หรือสีเทาอาจจะใช้ฟอกสีขาวได้ยาก จึงควรได้รับคำแนะนำจากทันตแพทย์ก่อนที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ เพราะการฟอกสีฟันในบางครั้งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ที่พบบ่อยคือ ฟันอาจมีอาการเสียวต่อความรู้สึกเย็น หรือมีรอยฝ้าขาวๆ ที่ขอบเหงือก อาการเหล่านี้มักจะหายไปภายใน 1-3 วัน หลังจากหยุดการฟอกสีฟันแล้ว
นักวิจัยโรงเรียนการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอันมีชื่อเสียงของสหรัฐฯ กล่าวบอกแนะนำเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายที่สิวขึ้นใบหน้าว่า ให้ลดปริมาณการดื่มนมให้น้อยลง
ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาพบว่า ถ้าอยากจะห่างสิวควรจะเลิกกินมันฝรั่งทอดกรอบและช็อกโกแลต แต่ในการศึกษาใหม่นี้ได้แสดงว่าวัยรุ่นที่ดื่มนมประจำวันละไม่น้อยกว่า 476 ซีซี ล้วนแต่พากันเป็นสิวกันตั้งครึ่ง เมื่อเทียบกับเพื่อนคนที่ดื่มน้อยกว่าหรือไม่ดื่มเลย คณะนักวิจัยได้ศึกษาอาหารการกินของผู้หญิงสหรัฐฯไม่น้อยกว่า >ที่มาข้อมูล :สยามดารา





ใครที่ชอบรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ วันนี้มีวิธีการรับประทานให้ได้คุณค่าทางสารอาหารมาฝาก...

หลีกเลี่ยงการทานอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้ทานอาหารที่ต้มหรือลวกแทน เพราะไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

ทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง โดยเน้นการทานเนื้อปลา หรือผัก เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลมระหว่างทานอาหาร เพราะต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ โดยเปลี่ยนมาทานน้ำเปล่าหรือน้ำชาแทน

เมื่อทานอาหารเสร็จ ควรออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน อย่างเช่น การเดิน เพื่อช่วยกระตุ้นในการย่อยอาหาร

รู้หลักการรับประทานอาหารให้มีประโยชน์ แล้วอย่าลืมเลือกร้านที่สะอาดและถูกหลักอนามัย


ขอบคุณข้อมูลดีดี : เดลินิวส์ออนไลน์
แน่นอนว่าถ้าอยากมีสุขภาพดีและรูปร่างดีสมส่วนไร้ไขมันส่วนเกินก็ต้องออกกำลังกาย แต่ดูสิ คอร์สมีตั้งมากมาย น่าสนุกน่าลองไปหมด แต่ก่อนจะกระโจนเข้าสู่วังวนช้อปปิ้งคอร์สออกกำลังกายและอุปกรณ์กีฬามากมาย ขอถามคำถามสำคัญ เหมาะกับตัวเองไหม
ลองสำรวจนิสัยตัวเองดูว่าคุณเป็นคนแบบไหน เพื่อเลือกการออกกำลังกายให้เหมาะกับ รูปแบบการใช้ชีวิตคุณ เพื่อจะได้อดทนทำต่อเนื่องจนเห็นผลจริงๆ เพราะรูปร่างดีไม่ได้เกิดขึ้นภายในชั่วอึดใจที่อยากผอมเพรียว หากแต่ต้องมีวินัยบวกใจรักจริง

1.คุณชอบตื่นเช้าหรือนอนดึกดื่น บางคนต้องทิ้งๆ ขว้างๆ การออกกำลังกายมากมายก็เพราะปัญหาเรื่องเวลา ควรเลือกคอร์สที่จัดเวลาเหมาะสมกับตารางชีวิตตัวเอง ไม่อย่างนั้น คอร์สโยคะตอนตีห้าสำหรับแมวขี้เซาก็คงทนทำไปได้ไม่นานต่อให้ชอบโยคะมากแค่ไหนก็ตาม
2.คุณชอบฉายเดี่ยวหรือชอบร่วมกลุ่ม ถ้าคุณชอบกลุ่มคณะและขาดแรงจูงใจเวลาอยู่ลำพัง คลาสเต้นแจ๊ซก็เร้าใจไม่เบา แต่หากคุณไม่ชอบคนหมู่มาก ควรเลือกเล่นกีฬาฉายเดี่ยวอย่างวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ
3.คุณชอบกิจกรรมเคลื่อนไหวหรือสงบจิตสงบใจ เช่น ลู่วิ่งหรือการเต้นสเต็ปที่ดูกระฉับกระเฉง กับการนั่งสงบจิตใจหรือท่วงท่าที่ช้าเนิบนาบแบบรำไทเก๊ก คุณเพลิดเพลินกับแบบไหนมากกว่ากัน
4.คุณสนุกกับการแข่งขันชิงชัยหรือมี Deadline ให้กับตัวเอง ถ้าใช่ การลงแข่งชิงถ้วยรางวัล เช่นวิ่งมาราธอน หรือเต้นรำ อาจช่วยบังคับให้คุณหมั่นฝึกฝนกลายๆ หรืออาจเลือกการออกกำลังกายนอกสถานที่เพื่อสร้างแรงจูงใจ เช่น ทริปปั่นจักรยานชมอุทยานแห่งชาติที่สวยงามและสมบุกสมบัน ฯลฯ
ขอเพียงคุณค้นพบการออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวเอง คุณก็สามารถเพลิดเพลินกับกีฬาหลากรูปแบบได้อย่างต่อเนื่อง และเห็นผลชื่นใจ
กฎของการกินของว่างไม่ให้อ้วน คือ กินไม่เกิน 100 แคลอรี่ ต่อ 1 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาอาหาร เช่น ถ้าเป็นเวลาบ่ายสามโมง และกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นต้องรออีก 3 ชั่วโมง ก็ควรกินอาหารว่างได้ไม่เกิน 300 แคลอรี่ แต่ควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยสูง เช่น ผลไม้ เป็นหลักแล้วค่อยเพิ่มโปรตีนหรือไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อให้อิ่มได้นานขึ้น ถ้าไม่รู้จะกินอะไรได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น- ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 1 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล- ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 2 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล + เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ- ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 3 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล + เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ + แคร็กเกอร์ธัญพืช 5 แผ่น- ถ้าอาหารมื้อต่อไปจะมาถึงในอีก 4 ชั่วโมง ทานแอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ผล + เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ + แคร็กเกอร์ธัญพืช 5 แผ่น + นมสดชนิดพร่องไขมัน 1 แก้วแต่ถ้ากินมังสวิรัติ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการบริโภคอาหารเสริมธาตุเหล็กด้วย เพราะธาตุเหล็กที่ได้จากผักและผลไม้ ส่วนมากร่างกายจะดูดซึมได้ยากถ้าอยากกินแต่ไม่อยากอ้วน ก็ลองกินตามวิธีที่แนะนำกันดูได้ที่มา : นสพ.เดลินิวส์




สิ่งที่
ตื่นเต้นล่าสุดกับการกำเนิดของเอกภพก็คือความรู้ที่ว่ากำเนิดที่แท้จริงของ
เอกภพไม่ใช่บิกแบง (การระเบิดใหญ่)
แต่มีเหตุการณ์หลายขั้นตอนเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
และเมื่อย้อนเวลาขึ้นไปอีกเราก็ได้รู้ว่าเอกภพเกิดขึ้นมาจาก ศูนย์
เมื่อคิดจากสามัญสำนึกธรรมดา ก็ไม่น่าจะแปลกอะไรเลย
แต่เมื่อคิดย้อนกลับจากปัจจุบันไปสู่อดีตเราจะพบกับเอกภพที่มีทั้งสภาพ
ที่มีความหนาแน่นและความร้อนสูงเป็นอนันต์
(ซึ่งฮอว์คิงและเพนโรสเรียกสภาพนี้ว่าจุดซิงกูลาริตี)
ซึ่งในสภาพนั้นเราจะไม่สามารถบอกได้ (ทางทฤษฎี)
เลยว่าก่อนหน้านั้นเอกภพมีความเป็นมาอย่างไร
นั่นก็คือเท่าที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถบอกได้ได้ง่ายนักว่าเอกภพ
เกิดมาจาก ศูนย์ ตราบใดที่พิสูจน์ทางทฤษฎีไม่ได้ ถึงจะเชื่อก็บอกไม่ได้
แต่ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้แล้ว นั่นก็แสดงว่า (มนุษย์)
ได้สามารถตีผ่านจุดซิงกูลาริตีได้แล้ว
ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้น



ทฤษฎีเกี่ยวกับกำเนิดและความเป็นมาของเอกภพเป็นสาขาวิจัยสำคัญอันหนึ่งของ
ดาราศาสตร์ ทฤษฎีเอกภพนั้นดั้งเดิมมีรากฐานมาจาก ทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ของไอน์สไตน์
ทฤษฎีนี้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับเอกภพของเราก้าวหน้าอย่างมากก็จริง
แต่ทางทฤษฎีนี้ก็มีจุดอ่อนที่สำคัญ จุดหนึ่งเกี่ยวกับกำเนิดของเอกภพ
ตราบใดที่คิดจากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพ
เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับกำเนิดของเอกภพได้เลย
เพราะฉะนั้นในสมัยก่อนถ้าเราถามนักวิทยศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเอกภพว่า
เอกภพเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?
ผู้ถูกถามมักจะกระอักกระอ่วนแล้วก็ตอบแบบห้ามถามต่อว่า
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ นั่นก็คือไม่มีใครตอบได้นั่นเอง
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ทฤษฎ๊ของอนุภาคพื้นฐานที่จำเป็นมากในการคิดเกี่ยวกับกำเนิดเอกภพ
ได้พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ช่วยให้เราสามารถพบทางแก้ปริศนาของเอกภพแนวทางใหม่นี้ได้
เหตุผลที่ทฤษฎีของอนุภาคพื้นฐานเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพราะเอกภพซึ่งปัจจุบัน
กว้างใหญ่ไพศาลนั้น ตอนที่กำเนิดทุกสิ่งทุกอย่างยังรวมตัวอัดแน่น
ทั้งความหนาแน่นและอุณหภูมิจะสูงเป็นอนันต์ ในสภาพเช่นนั้นสสารทั้งหลาย
จะแยกตัวออกเป็นอนุภาคพื้นฐานที่สุดในระดับควาร์ก
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทฤษฎีอนุภาคพื้นฐานต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในการศึกษา
เกี่ยวกับกำเนิดของ เอกภพ

ประวัติการศึกษาการกำเนิดของเอกภพ เริ่มจากไอน์สไตน์



เราอาจกล่าวได้ว่าการศึกษาเอกภพปัจจุบันนั้นมีต้นกำเนิดรากฐานมาจาก
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของ ไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่ทำให้เกิด
การศึกษาเกี่ยวกับเอกภพนั้นเป็นวิทยาศาสตร์
แทนที่จะเป็นเพียงความเชื่อหรือศาสนา
ซึ่งก่อนหน้านั้นเรามักจะคิดเพียงว่าเอกภพเป็นสถานที่ให้ดาว
และกาแลกซี่อยู่ ไม่ได้เป็นจุดสำคัญของการศึกษาค้นคว้า ในปี 1917
ไอน์สไตน์ได้ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพในการศึกษาเกี่ยวกับเอกภพ ที่จริงในปี 1917
เป็นเพียงปีเดียวให้หลังจากที่เขาประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขาเท่า
นั้น ซึ่งแสดงว่าเขาเริ่มสนใจการศึกษาเอกภพทันที่ที่ทฤษฎีของเขาเสร็จ
นั่นเอง เขาคงอยากรู้เกี่ยวกับเอกภพอย่างแรงกล้าอยู่แล้วและอาจกล่าวได้ว่า
เพราะความอยากรู้เกี่ยวกับเอกภพจึงทำให้เขาสามารถค้นพบและสร้าง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพได้ ในตอนแรกๆ
ไอน์สไตน์ได้ใช้ทฤษฎีของเขากับโมเดลเอกภพที่หยุดนิ่ง สม่ำเสมอ
เหมือนกันทุกทิศทาง ซึ่งก็คือโมเดลของเอกภพ ปิด
สม่ำเสมอและเหมือนกันทุกทิศทาง ซึ่งหมายความว่าถ้าดูในบริเวณแคบๆ
ของเอกภพอาจจะมีโลก มีดาวเสาร์ ฯลฯ แต่เมื่อดูในวงกว้างขวางแล้ว
ไม่ว่าจะมองไปทิศทางไหน เอกภพจะเหมือนกันทั้งหมด
ไม่มีที่ไหนที่จะพิเศษกว่าที่อื่น ปัจจุบันเราเรียกความคิดนี้ว่า
กฎของเอกภพ ซึ่งเป็นความคิด พื้นฐานอันหนึ่งในการศึกษาเอกภพในปัจจุบัน
แล้วผลของการคำนวณปรากฏออกมาตรงกันข้ามกับที่คาดไว้
ไอน์สไตน์พบว่าตามโมเดลเอกภพที่ปิดนี้ เอกภพจะหดตัว
แทนที่จะหยุดนิ่งอย่างที่คิดไว้ ซึ่งที่จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่พอคาดคะเนได้
เพราะทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นั้น ที่จริงก็คือการขยาย
ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ถ้าในเอกภพมีมวลสารอยู่อย่างสม่ำเสมอ
มันจะดึงดูดซึ่งกันและกันเข้าหากัน ซึ่งก็คือเอกภพจะหดตัวนั่นเอง

ตามทฤษฎีเอกภพของไอน์สไตน์
เอกภพไม่มีกำเนิด


เอกภพจะหดตัวและสลายไปไม่ได้ เพราะสมัยนั้นเชื่อกันว่า
เอกภพเป็นสิ่งที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์และจะยั่งยืนตลอดไปในอนาคต ไอน์สไตน์เอง
ก็เชื่อเช่นนั้น แต่เพื่อแก้ปัญหานี้
ไอน์สไตน์ได้เพิ่มตัวแปรเอกภพเข้าไปในทฤษฎีของเขา
โดยหวังว่ามันจะช่วยให้ผลทางทฤษฎีที่ออกมาจะไม่ทำให้เอกภพ หดตัว
เพราะตัวแปรเอกภพที่จะทำให้เกิดแรงต้านแรงโน้มถ่วงต่อแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
และสมดุลกันไม่ให้เอกภพหดตัว แต่ไอน์สไตน์เพิ่มตัวแปร
เอกภพนี้เข้าไปในทฤษฎีโดยที่เป็นเทคนิคทางทฤษฎีเท่านั้น
และนี่ก็คือทฤษฎีโมเดลเอกภพหยุดนิ่ง ซึ่งไอน์สไตน์ประกาศในปี 1917
และเป็นทฤษฎีที่ เอกภพจะไม่ขยาย จะไม่หด แต่จะคงที่
ตามทฤษฎีเอกภพนี้เอกภพจะมีตั้งแต่ดึกดำบรรพ์และจะยั่งยืนต่อไปในอนาคต
เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคิด ถึงกำเนิดของเอกภพ
นั่นก็คือทฤษฎีอันแรกเกี่ยวกับกำเนิดของเอกภพก็คือทฤษฎีของของไอน์สไตน์ที่
ว่าเอกภพไม่มีกำเนิด แต่ในปี 1922
นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ทฤษฎีชาวรัสเชียชื่อ ฟรีดมานน์
ได้คำนวณเกี่ยวกับเอกภพโดยใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
พบว่าเอกภพจะไม่คงที่ แต่จะต้องขยายหรือไม่ก็หด อย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือเขาได้แสดงให้เห็นว่า
เมื่อใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพคำนวณเกี่ยวกับเอกภพที่เปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่เอกภพที่หยุดนิ่งและในปี 1929 นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ
ฮับเบิล ได้สำรวจด้วยกล้องโทรทัศน์ที่หอดาราศาสตร์วิลสันแห่ง
แคลิฟอร์เนียพบว่า เอกภพนั้นกำลังขยายตัวไม่ได้หยุดนิ่ง

ทำไมกำเนิดของเอกภพจึงเป็น
BIG BANG (การระเบิดใหญ่)


ถ้าเอกภพกำลังขยายตัวก็แสดงว่าถ้าเราย้อนเวลากลับไปในอดีต
เอกภพก็ต้องมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ยิ่งย้อนเวลามากก็ยิ่งเล็กลง แล้วเมื่อเล็ก
ลงอย่างที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น
เอกภพจะลดลงจนสลายไปหรือหวังว่าจะมีจุดหนึ่งที่เอกภพกำเนิด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดจะเห็นว่าเราจะต้องเกี่ยวข้องกับ
การเริ่มของเอกภพทั้งนั้น
ผู้แรกที่เริ่มศึกษาปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังคือนักฟิสิกส์ซึ่งเกิดที่รัส
เซียชื่อ กามอฟ แต่ภายหลังอพยพไปอยู่อเมริกาในช่วง ปี 1948
ที่จริงกามอฟไม่ได้ตั้งใจที่จะคิดค้นเกี่ยวกับการเริ่มของเอกภพตั้งแต่ตอน
แรก แต่ระหว่างที่เขากำลังคิดค้นเกี่ยวกับการเกิดของธาตุ เขาก็ได้
บรรลุถึงข้อสรุปว่า เอกภพจะต้องเกิดขึ้นด้วย BIG BANG





เครื่องกำจัดเกลือ[1] (อังกฤษ: Desalter) เป็นกระบวนการหนึ่งในโรงกลั่นน้ำมันเพื่อแยกเกลือออกจากน้ำมันดิบ โดยใช้หลักการใช้น้ำทำการละลายเกลือในน้ำมันดิบและแยกน้ำซึ่งจะละลายเกลือออกจากกัน โดยใช้การสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นเพื่อใช้ตรึงแยกหยดน้ำซึ่งละลายเกลือออกจากน้ำมันดิบ โดยปกติแล้ว กระบวนการกำจัดเกลือมักจะเป็นกระบวนการแรกในการกลั่นน้ำมัน

เครื่องกำจัดเกลือสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบศักย์คงที่ และแบบมีการเปลี่ยนแปลงศักย์ตามช่วงการทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกลือแร่หลุดออกไปทำปฏิกิริยากลายเป็นกรด ทำให้เกิดการกัดกร่อนกับระบบซึ่งเป็นโลหะ

คำว่า "เครื่องกำจัดเกลือ" สามารถหมายถึง เครื่องทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจิด ซึ่งสามารถบำบัดน้ำกร่อยที่เกิดจากเกษตรกรรม โดยเป็นการทำน้ำให้สะอาดสำหรับการบริโภคของคนและสัตว์ หรือเพื่อลดความเค็มของน้ำก่อนที่จะผ่านพรมแดนระหว่างประเทศ ซึ่งมักจะเป็นเงื่อนไขในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เครื่องกำจัดเกลือยังถูกใช้ในการบำบัดน้ำในอ่างเก็บน้ำบาดาลในพื้นที่อันได้รับผลกระทบจากฝูงปศุสัตว์











































































































































































































































































































































รวมสาวสวยมากมาย

ข้อมูลนก

ปลาสวยงาม-ตู้ปลาสวยงาม-ข้อมูลปลาทะเล

อาหารสมอง-วาไรตี้

เรื่องขำขัน

สูตรอาหาร-อาหารน่ากิน-ขนมหวานน่าอร่อย

ภาพปริศนา