google search

Google

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่เลย

clock

ปฏิทิน

Blog Archive

เทคโนโลยีทันสมัย

ภาพถ่ายนักเรียนน่ารักๆ-วัยรุ่น-นักศึกษา-นางแบบ-ดารา

สาวสวยเซ็กซี่-สาวน่ารัก

วิทยาศาสตร์

รูปแปลก-ภาพแปลก-ภาพขำขำ

เรื่องน่ารู้ทั่วไป

สัตว์บก-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ -สัตว์น้ำ -สัตว์ปีก -สัตว์เลื้อยคลาน -สัตว์ในวรรณคดี

BlogRoll

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน

จระเข้ประหลาดในยุคครีเตรเซียส

Miami : สวรรค์...หรือดินแดนอาชญากรรม

ไขปริศนาปลาพญานาค

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ

การกลับมาของ "อเล็กเซย์" เมื่อราชวงศ์โรมานอฟได้คืนชีพ ?!

ปลาหมึกยักษ์ อสูรร้ายใต้สมุทร

แกะปมปริศนาลำแสงมรณะของอาร์คิมิดีส

ความเชื่อในสิ่งลึกลับ : หมอผีวูดู

นอสตราดามุส ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

ตำนานแม่มดแห่งเมือง Blair

flag

free counters

เรียวมะ ซาคาโมโต : บุรุษทรนง

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

ตำนานมนุษย์หมาป่า

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

การกลับมาของโรคระบาด

ตามหา"ไอ้ตีนโต" มนุษย์วานรดึกดำบรรพ์

มหันตภัยธรรมชาติในอนาคต

มังกรมีจริงหรือเพียงแค่ตำนาน ?

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

ปริศนารูปถ่ายของยูนิคอร์น

ภาพถ่ายวิญญาณจากต่างแดน

ภาพถ่ายวิญญาณ (ภาค2)

ภาพถ่ายศพนางเงือก

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพถ่ายวิญญาณ

เรื่องสยองที่ abac

ภาพถ่ายวิญญาณของไทย

ผีในการท่องเที่ยว

ซุปเด็กสุดสยอง

สิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ของโลก

ตัวอะไรเนี่ย

photo หน้า...น่าเกลียด

15 โรงแรมแปลก แหวกแนวสุดยอด

''โคลอสเซียม'' : สังเวียนแห่งความตาย

1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่

เปิดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ

อาถรรพณ์ปูโสม : วิญญาณเฝ้าทรัพย์

นักเล่านิทานบันลือโลก

มัมมี่แห่งศตวรรษที่ 21

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเหตุใด ?

ผู้ติดตาม

friend

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ด้านล่างนี้เป็นภาพของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับใครกัน ????





วิธีการดู
1.ถอยออกไปจากจอคอมพิวเตอร์
2. บันทึกภาพลงเครื่อง แล้วใช้โปรแกรมดูภาพเช่น ACDSee ย่อภาพ

สองภาพนี้มีจุดแตกต่าง 15 จุด ลองหาดู

เรื่องนี้เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ลูกค้าชายร่างล่ำบึ้กที่พูดติดอ่างอย่างรุนแรงคนหนึ่ง ได้เดินไปที่เคาน์เตอร์ แล้วถามว่า : "ผะๆ- แหนกๆ-สิน-ค้าๆผู้ๆชายอยู่-ด้านๆไหนครับ?"



พนักงานที่เคาน์เตอร์จ้องมองเขาแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร



ลูกค้าคนนั้น ก็ถามซ้ำอีกหลายครั้งว่า : "ผะๆ- แหนกๆ-สิน-ค้าๆผู้ๆชายอยู่-ด้านๆไหนครับ?"



พนักงานคนนั้นก็ไม่ยอมตอบ จนท้ายที่สุด ลูกค้าคนนั้นก็โมโหเดือดปุดๆ และปึงปังเดินออกจากห้างไป



ลูกค้าที่ยืนเข้าคิวต่อจากชายคนนั้น ก็เอ่ยถามพนักงาน : "ทำไมถึงไม่ยอมตอบที่เขาถามล่ะ?"



พนักงาน : "คุๆๆ-คุณ-คิๆๆ-คิด-ว่า-ผะๆๆ-ผม-อยาก-จะ-หะ-หาเรื่อง-โดๆๆ-โดน-ชก-รึๆ-ไง?"

บุญทิพย์เป็นนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อที่มีความสามารถสูง แม้เขาจะแต่งงานแล้วกับภรรยาสาวขี้หึงคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ลักษณะงานทำให้เขาต้องเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ซึ่งเขาเองก็ชอบ

เย็นวันหนึ่ง หลังเลิกงานกลับถึงบ้านเขาบอกกับภรรยาถึงเรื่องการเดินทางเหมือ นเช่นเคย



บุญทิพย์ : ที่รัก พรุ่งนี้ผมต้องไปต่างจังหวัดสองสามวัน ช่วยจัดกระเป๋าให้ผมหน่อย


ภรรยา : คุณจะไปค้างกี่คืนคะ ?

บุญทิพย์ : คงจะสามคืนกระมัง

ภรรยา : เรื่องนี้ไม่ยากค่ะ ฉันจัดประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จเพราะจัดอยู่บ่อยๆ

บุญทิพย์ : ผมเชื่อ เพราะมันก็เรียบร้อยครบถ้วนดีเสมอ แต่ว่า......ผมสงสัยอยู่นิดเดียวตรงที่คุณชอบใส่ถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าเดินทางของผมทุกครั้ง คุณก็รู้ดีนี่นา ว่าผมน่ะรักคุณแบบรักเดียวใจเดียวไม่เคยคิดยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว

ภรรยา : เรื่องนั้นฉันรู้ดี แต่เพื่อความไม่ประมาท บางทีหากคุณเผลอไป ก็จะได้ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่า ทุกวันนี้โรคติดต่อมันร้ายแรงมาก พลาดพลั้งไปก็อาจถึงชีวิตได้

บุญทิพย์ : ขอบคุณที่เป็นห่วง ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณจึงไม่ใส่ถุงยางอนามัยไว้หลายๆอันหน่อย แต่นี่คุณใส่แค่อันเดียวทุกครั้งเลย

ภรรยา : อ๋อ ใส่อันเดียวมันจำง่ายดีค่ะ ถ้ามันถูกใช้

มีอยู่วันหหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนอน

ในวันนั้นอากาศร้อนผิดปกติ

ฉันนอนอยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียว

แล้วฉันก็หลับไป เป็นเวลานานพอสมควร

ที่ฉันได้ตื่นขึ้นมา ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะที่ฉันลืมตาขึ้นนั้น

ฉันก็เห็นเหงาเป็นรูปคนอยู่ที่ปลายเตียง

ฉันตกใจมากฉันตั้งสติและก็กลั้นใจจ้องมองให้แน้ชัด

และฉันก็ถามท่านไปว่าท่านมาจากที่ใดต้องการสิ่งใด

ท่านไม่ยอมตอบ มีแต่เสียงตะกุกตะกักแล้วท่านก็ส่ายหน้า

ฉันก็เลยถามไปอีกว่าจะให้ฉันทำบุญไปให้รึเปล่า

ท่านก็ส่ายหน้าไปมาอีก

เสียงของท่านก็ดังขึ้นเรือยๆ ฉันตกใจมาก

จึงใช้เท้าถีบไปยังใบหน้าของท่าน เสียงดังโครมๆ

แม่เปิดประตูเข้ามาตบหัวฉันแล้วบอกว่า

จะไปถีบมันทำไมพัดลมมันก็ตั้งของมันอยู่ดีดี

บุญสนิทเป็นโฟร์แมนบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง เขาแต่งงานกับสายขจรเสมียนสาวในบริษัทเดียวกัน แต่เนื่องจากรายได้ของทั้งคู่ไม่ค่อยสูงมากนักประกอบกับบุญสนิทเป็นคนชอบ กินเหล้าและเที่ยวเตร่ เงินทองจึงไม่มีพอที่จะหาซื้อบ้านอยู่อาศัยได้ อีกประการหนึ่งเนื่องจากไซต์งานก่อสร้างไม่ค่อยเป็นหลักแหล่งด้ วย พวกเขาทั้งสองจึงได้เลือกเช่าอพาร์ทเมนท์ที่ใกล้ไซต์งานเพื่ออยู่อาศัยคืนวันหนึ่ง บุญสนิทเดินโซซัดโซเซขึ้นมาบนห้อง สายขจรสังเกตเห็นหน้าตาเขามีรอยฟกช้ำดำเขียว



สายขจร : ไปทำอะไรมาถึงหน้าตาบอบช้ำอย่างนี้ ?

บุญสนิท : ชกกับผู้จัดการอพาร์ทเมนท์นะซี

สายขจร : อ้าว แล้วไปชกกับเขาทำไม ?

บุญสนิท : ก็มันขี้คุย

สายขจร : เขาคุยว่าอะไร ?

บุญสนิท : ก็มันคุยว่ามันมีเซ็กส์กับผู้หญิงทุกคนในอพาร์ทเมนท์นี้ ยกเว้นคนเดียว ผมถามมันว่าผู้หญิงคนเดียวที่ว่านั้นเป็นใคร ถามอย่างไรมันก็ไม่ยอมบอกแล้วมันยังทำท่าทีกวนโอ๊ยเสียด้วย ผมทนไม่ได้ก็เลยชกมันเข้าให้ มันชกผมคืนบ้างก็พอดีมีคนมาห้าม

สายขจร : โธ่เอ๊ย... เรื่องแค่นี้เองหรอกหรือ ? ไม่น่าต้องชกกันเลย ใครๆเขาก็รู้กันทั้งตึกแหละว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นยายสมศรีปากจัดที่อยู่ชั้นสามแน่เลย

ณ.งานเลี้ยงแห่งหนึ่ง สุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของเด็กวัยรู่นในยุคนี้ว่า

สุภาพสตรี : "ดูแม่สาวน้อยคนนั้นสิ ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงสมัยนี้เค้าเป็นอะไรกันนะ ดูสิ..เธอใส่กางเกงยีนส์ของเด็กผู้ชาย, เสื้อเชิ้ทก็ของเด็กผู้ชาย แล้วตัดผมตัดเผ้าก็หยั่งกะเด็กผู้ชายเด๊ะ-ถ้าไม่บอก คุณก็ไม่มีทางรู้ได้เลย ว่านั่นน่ะ เป็นเด็กผู้หญิง..คุณว่ามั้ย?"

คู่สนทนา : "อืม..ฉันว่าฉันรู้นะ เพราะนั่นน่ะ คือลูกสาวของฉันเอง"

สุภาพสตรี : "อ้าว..เหรอ..ขอโทษนะคะ..ฉันไม่รู้ว่าคุณน่ะเป็นพ่อ"

คู่สนทนา : "ฉันไม่ใช่พ่อ..ฉันเป็นแม่ย่ะ "

บุญดอนเป็นวิศวกรหนุ่มรูปหล่อทำงานมาแล้วหลายปี ถึงแม้จะมีตำแหน่งงานดีเงินเดือนดีแต่เขาก็ยังหาแฟนไม่ได้สักที วันหนึ่ง เขาไปส่งจดหมายที่ไปรษณีย์ เขาเห็นชายสูงอายุหัวล้านพุงพลุ้ยอยู่คนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับจดหมายกองโต เมื่อเขาเดินเข้าไปชะโงกดูเห็นชายสูงอายุคนนี้กำลังเอาแปรงเล็ก ๆขนาดแปรงยาทาทาเล็บป้ายน้ำหอมใส่โปสการ์ดแล้วใส่เข้าไปในซองสีชมพูซองแล้วซองเล่า

บุญดอน : จดหมายรักหรือครับ ?

ชายสูงอายุ : ครับ จดหมายรักทั้งหมดเลย

บุญดอน : โห ขอดูหน่อยได้ไหม ?

เมื่อชายสูงอายุยื่นซองจดหมายมาให้บุญดอน เขาเห็นชื่อผู้รับบนหน้าซองเป็นชื่อผู้หญิงเมื่อเปิดซองดู กลิ่นหอมของน้ำหอมโชยมาเตะจมูกมีข้อความบนโปสการ์ดที่เป็นรูปหัวใจสี ชมพูเขียนด้วยลายมือสวยงามอ่านว่า " ที่รัก คิดว่าคุณคงประทับใจนะครับ ผมหวังว่าจะได้เจอกับคุณอีก จากผม............."

บุญดอนรู้สึกทึ่งมาก
ที่ชายสูงอายุหัวล้านพุงพลุ้ยคนนี้จะมีทีเด็ดถึงกับมีแฟนได้มาก ขนาดนี้ ในขณะที่หนุ่มรูปหล่ออย่างเขายังหาแฟนไม่ได้แม้แต่คนเดียว เขายื่นซองจดหมายคืนด้วยความอิจฉา

บุญดอน : คุณทำอย่างไรจึงได้มีแฟนมากขนาดนี้ ? ช่วยบอกหน่อย

ชายสูงอายุ : พวกเธอเหล่านี้ไม่ใช่แฟนผมหรอก พวกเธอแต่งงานหมดแล้ว

บุญดอน : อ้าว แล้วคุณส่งจดหมายรักเหล่านี้ไปถึงพวกเธอทำไม ? เดี๋ยวสามีเขาก็เข้าใจผิดหรอก

ชายสูงอายุ : ก็ผมเป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีหย่าร้างไงครับ

ดูภาพดอกไม้ด้านล่างนี้สิ คุณเห็นใบหน้า คนหรือไม่ ตรงไหนบ้าง

นายแพทย์กาเบ่รียล ฟอโลปิอุส ผู้เชี่ยวชาญด้านกายวิภาคชาวอิตาเลียน คือผู้ที่
ได้รับการยกย่องวาเป็น “บิดาแห่งถุงยางอนามัย” ฉายานี้ออกจะผิดยุคสมัยไปบ้าง
เนื่องจากคำว่า “ถุงยางอนามัย” หรือ “condom” นั้นยังไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงชีวิตของ
ฟอโลปิอุส

ศาสตราจารย์แห่งภาควิชากายวิภาคมหาวิทยาลัยปาดัวผู้นี้เป็นบุคคลแรกที่ได้
บรรยายถึงลักษณะและการทำงานของท่อเรียวยาว ๒ ท่อในช่องท้องของสตรี ว่ามีหน้าที่
ลำเลียงไข่จากรังไข่ไปยังมดลูก ในปี ค.ศ. ๑๕๕๑ ฟอโลปิอุสได้ออกแบบปลอกสวม
องคชาต ทำจากผ้าลินิน ต่อมาไม่นานนัก ปลอกผ้านี้ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นสำหรับบุรุษที่
ขริบปลายอวัยวะเพศ ความยาวมาตรฐานของปลอกผ้าคือ ๘ นิ้ว เวลาสวมต้องผูกเข้ากับโค
นองคชาตด้วยโบสีชมพู สันนิษฐานว่าเพื่อให้ยวนใจสตรีเพศ

นายแพทย์ฟอโลปิอุสทดสอบสิ่งประดิษฐ์ของเขากับผู้ชาย ๑,๐๐๐ คน ตามรายงาน
ของคุณหมอเองปรากฏว่า การทดสอบประสบผลสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ปลอกสวม
องคชาตนี้ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่นิยมเรียกกันอย่างสุภาพว่า “เสื้อ
คลุม” (overcoat)

แรกเริ่มเดิมทีที่ฟอโลปิอุสคิดประดิษฐ์เสื้อคลุมขึ้น มิได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็น
เครื่องมือคุมกำเนิด แต่ตั้งใจจะให้เป็นเครื่องป้องกันการติดเชื้อกามโรค ซึ่งกำลัง
แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในเวลานั้น จากการระบาดของกามโรคในทวีปยุโรปในช่วงศตวรรษที่
๑๖ นี้เอง ทำให้นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า พวกกะลาสีเรือซึ่งเดินทางรอนแรมไปจนถึงโลก
ใหม่ คือผู้นำเชื้อแบคทีเรียของโรคซิฟิลิสไปแพร่แก่ชาวอินเดียนแดง ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง
ของทวีปอเมริกา

นอกเหนือจากผ้าลินินแล้ว ปลอกอนามัยของศตวรรษที่ ๑๖ ยังทำขึ้นจากลำไส้
ของสัตว์ และเยื่อพังผืดของปลา เนื่องจากความหนาของปลอกอนามัยลดทอนความพึง
พอใจจากการมีเพศสัมพันธ์ ประกอบกับไม่ช่วยป้องกันการติดโรคได้เสมอไปนัก เพราะใช้

ไม่ถูกวิธี หรือใช้ซ้ำโดยไม่ล้างทำความสะอาดก่อน ปลอกอนามัยของฟอโลปิอุสจึงไม่ได้รับ
ความนิยมในหมู่บุรุษเพศเลย ทั้งยังถูกมองอย่างเยาะหยันเสียด้วยซ้ำ

“เสื้อคลุม” ของฟอโลปิอุส ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ถุงยางอนามัย” ได้อย่างไร
ตำนานเล่าว่า คำว่า “คอนดอม"หรือถุงยางอนามัย มาจากชื่อของท่านเอิร์ลแห่งคอนดอม
แพทย์ประจำพระองค์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ ความเป็นนักเลงเจ้าชู้ของกษัตริย์องค์นี้เป็นที่
ลือเลื่องในยุคนั้น พระองค์ทรงมีสนมมากมายนับไม่ถ้วน ถึงแม้ไม่ทรงมีรัชทายาทถูกต้อง
ตามกฎหมายแม้แต่พระองค์เดียว แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ ก็ทรงมีโอรสธิดานอกกฎหมายอยู่
ทั่วราชอาณาจักร

ดอกเตอร์คอนดอมได้รับการขอร้องให้ช่วยหาหนทางป้องกันพระมหากษัตริย์นักรัก
จากโรคซิฟิลิส วิธีป้องกันของคอนดอม คือ ปลอกอนามัยจากลำไส้แกะที่ยืดเหยียดออก
และชโลมน้ำมัน (ไม่มีการบ่งชี้ว่าคอนดอมทราบถึงสิ่งประดิษฐ์ของฟอโลปิอุส เมื่อร้อยปี
ก่อนหรือไม่ เล่ากันว่าตลอดช่วงชีวิตของแพทย์ประจำพระองค์ผู้นี้ เขาไม่ประสงค์ให้เรียก
ปลอกอนามัยที่คิดประดิษฐ์ขึ้นตามชื่อของเขา) การณ์ปรากฏว่า ปลอกอนามัยของ
ดอกเตอร์คอนดอมได้รับความสนใจจากบรรดาขุนนางในราชสำนัก ซึ่งนิยมใช้สิ่งประดิษฐ์
ใหม่นี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อกามโรค
ความจริงที่ว่าผู้ชายออกจะกลัวโรคติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์มากกว่ากลัว
การให้กำเนิดลูกนอกกฎหมาย ปรากฏชัดแจ้งในคำนิยามของคำว่า “คอนดอม” ตาม
พจนานุกรมหลายฉบับในศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ตัวอย่างหนึ่งในพจนานุกรมคำ
หยาบ ตีพิมพ์ในกรุงลอนดอน เมื่อ ปี ค.ศ. ๑๗๘๕ ให้

นิยามถุงยางอนามัยไว้ ดังนี้ “ไส้แกะตากแห้ง สวมโดยบุรุษในระหว่างร่วม
เพศ เพื่อป้องกันการติดเชื้อกามโรค” คำนิยามมีต่อไปอีกหลายประโยค แต่ไม่มี
ข้อความใดเลยที่กล่าวถึงการคุมกำเนิด เพิ่งมาในศตวรรษที่ ๒๐ นี้เอง เมื่อยาเพนนิซิลิ
นช่วยคลายความหวาดกลัวของผู้ชายต่อโรคซิฟิลิส ถุงยางอนามัยจึงถือเป็นเครื่องป้องกัน
การตั้งครรภ์อย่างแท้จริง

ถุงยางอนามัยทำจากยางแข็ง กำเนิดขึ้นในราวปี ค.ศ. ๑๘๗๐ คนในเวลานั้นนิยม
เรียกกันว่า “ยาง” (Rubber) ถุงยางชนิดนี้ยังไม่บางเป็นแผ่นฟิลม์ ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค
และไม่ใช่แบบใช้แล้วทิ้ง ผู้ใช้ได้รับคำแนะนำให้ล้าง “ยาง” ของเขาก่อนและหลังการมี
เพศสัมพันธ์ และเขาสามารถใช้มันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะมีรอยปริ หรือฉีกขาด แม้ว่า
ถุงยางชนิดนี้มีประสิทธิภาพดีและใช้สะดวกขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมอยู่
ดี โดยถูกตั้งข้อรังเกียจว่าทำให้การร่วมเพศหมดรสชาติขาดความเร้าใจ ส่วนถุงยาง
สมัยใหม่ทำขึ้นจากยางสังเคราะห์แบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันกำเนิดขึ้นเมื่อ ๖๐ ปีมานี้เอง

...เคล็ดลับการถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์...



จากสถิติพบว่า.. ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะรวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอ และหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ

เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการ ตาแห้ง เกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้ บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควร ปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษร ได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)

5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควร เลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป

6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานาน

รู้ถึงเคล็ดลับดีๆ อย่างงี้กันไปแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันนะคะ เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีของเพื่อนๆ ผู้รักการเล่นคอมฯ เป็นชีวิตจิตใจ เพราะดวงตาของเราเป็นหน้าต่างของหัวใจ อย่าลืมถนอมมันให้ใช้ได้นานๆ

การออกกำลังสมองสามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ มาลองทำดูกันนะคะ

ถ้าอยู่บ้าน ลองทำกิจกรรมเหล่านี้ดู

- ปิดตาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ เช่น เมื่อเราปิดตาดูทีวี แทนที่จะ"มองเห็น" เราก็จะ "ฟัง" และกระตุ้นความคิดว่า เรากำลังดูรายการอะไร หรือพิธีกรซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนี้คือใคร
- ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วน "สัมผัส" เชื่อมโยงกับความจำว่าสวิตซ์ไฟหรือสิ่งของภายในห้องอยู่ตรงไหน
- สลับกับกิจกรรมที่เคยทำตั้งแต่ตื่นนอน จากที่เคยอาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ (แต่จะแปรงฟันก่อนก็ได้) เนื่องจากสมองจะใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซึ่งเคยชิน

ระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้

- หากเปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น
- หากคุณต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง เส้นทางใหม่ที่ทราบอยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้าง แผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง
- เปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน

ทำงานไปด้วย ฝึกสมองไปด้วยก็ได้

- เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานโดยเฉพาะถังขยะ เพราะความเคยชินจากการรู้ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหน ทำให้สมองเราทำงานน้อยลง พิสูจน์ได้จากเมื่อคุณย้ายตำแหน่งถังขยะในช่วงแรก ๆ คุณก็ยังทิ้งขยะลงที่เดิมซึ่งไม่ลงถังแล้ว นั่นเป็นเพราะสมองเคยชิน
- พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น
- ชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ

ลองฝึกดูนะ ค่อย ๆ ทำวันละเล็ก วันละน้อย ก็สามารถจะยืดอายุสมองของคุณให้แข็งแรงนานขึ้น

นักวิทยาศาสตร์เตือนการเกิด "ก๊าซมีเทน" บริเวณขั้วโลก เป็นมหันตภัยใหม่ของการเกิดภาวะก๊าซเรือนกระจก

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยา ศาสตร์ชื่อดังของไทย กล่าวในงานเสวนา "ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทางออกของโลกที่สวย งาม" ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ว่า มีการศึกษาพบว่าน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือละลายรวดเร็วจนทำให้ซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ถูกแช่แข็งสลายตัว ส่งผลให้เกิดก๊าซมีเทนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก๊าซนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนมากขึ้น โดยมีความรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศถึง 21 เท่า

นอกจากนี้ การที่คนเราบริโภคเนื้อสัตว์ จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดก๊าซมีเทนมากขึ้น

เพราะในกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ มีการปลดปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่ากระบวนการเพาะปลูก ดร.อาจอง เรียกร้องให้ประชาชนลดการบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เพื่อชะลอและหยุดยั้งการเกิดภาวะเรือนกระจกที่จะส่งผลกระทบต่อโลก และคนที่อาศัยบนโลกใบนี้

สิ่งที่ต้องเตรียม

เส้นสปาเก็ตต้มสุกแล้ว 500 กรัม
ปลาหมึกสดหั่นเป็นชิ้นตามขวาง 100 กรัม
กุ้งสดปอกเปลือก 100 กรัม
ซอสมะเขือเทศ ½ ถ้วยตวง
ซอสพริก 4 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตายทราย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 2 ช้อนชา
ผักชีและต้นหอมซอย 4 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่หั่นบาง 1 หัว
มะนาว 1 ลูก
น้ำมันข้าวโพดสำหรับผัด

วิธีทำ

- ผัดหอมใหญ่กับน้ำมันข้าวโพดจนหอม
- ใส่ปลาหมึก, กุ้งสดที่เตรียมไว้ลงไปผัด ตามด้วยเส้นสปาเก็ตตี้
- ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงทั้งหมดผัดใช้ไฟแรง เติมผักชีและต้นหอมแล้วยกลง
- หยอดหน้าสปาเก็ตตี้คั่วทะเลด้วยมะนาวก่อนรับประทาน แค่นี้ก็อร่อยมากแล้ว



ขอขอบคุณ สูตรอาหาร และรูปภาพสวย..สวย จาก

Pitchaya's Food

สิ่งที่ต้องเตรียม

สปาเก็ตตี้ต้มสุกแล้ว 500 กรัม
กุ้งสดปอกเปลือก 100 กรัม
เนื้อปลากระพง 100 กรัม
แตงกวาหั่นเต๋า 100 กรัม
แครอทหั่นเต๋า 100 กรัม
มะม่วงสุกหั่นเต๋า 100 กรัม
พริกฝรั่งหั่นเป็นชิ้น 1 ผล
ถั่วลันเตา 100 กรัม
น้ำ 4 ถ้วยตวง
ผงปรุงรสไก่ 1 ช้อนชา
ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วยตวง
ซอสพริก ½ ถ้วยตวง
ซอสหอยนางรม 4 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
หอมใหญ่หั่นเต๋า 1 หัว
แป้งข้าวโพด 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำสำหรับละลายแป้งข้าวโพด 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันข้าวโพดสำหรับผัด
ต้นหอมและพริกแดงสำหรับแต่ง

วิธีทำ

- ผัดหอมใหญ่กัน้ำมันข้าวข้าวโพดจนหอม
- เติมปลาและกุ้งที่เตรียมไว้ลงผัดใช้ไฟแรงๆ
- ใส่แตงกวา แครอท พริกฝรั่ง มะม่วงสุก และน้ำ
- ปรุงรสด้วยเครื่งปรุง เติมแป้งข้าวโพดละลายน้ำ คนผสมจนสุกข้น จึงยกลง
- ตักผัดเปรี้ยวหวาน ราดบนเส้นสปาเก็ตตี้ แต่งสวยด้วยผักชีและพริกแดง



ขอขอบคุณ สูตรอาหาร และรูปภาพสวย..สวย จาก

Pitchaya's Food
มารู้จักกับ "ความรัก" กันดีกว่า...






มารู้จักกับ "ความรัก" กันดีกว่า...






A man overtime falls in love with the woman he is attracted to, and a woman overtime becomes more attracted to the man she loves.

ผู้ชาย . . . มักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิง . . . จะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก






You may only be one person to the world but you may also be the world to one person.

คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่. . . คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้






Friendship often ends in love, but love in friendship- never.

มิตรภาพ. . . มักจะจบลงด้วยความรัก แต่ . . . ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ






You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you're not part of it.

คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อ . . . คุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึง การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน






Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind.

ความรัก . . .ก็เหมือนซีเมนต์เปียก ๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง






Don't rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past.

อย่าวางใจ ใช้อดีต . . . เป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป






Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly.

รักจะเฉาตาย . . . ถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป






If you love someone tell them, don't wait or else you will lose the chance.

ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ







It only takes a second to say "I love you", but it will take a lifetime to show you how much.

ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า "ฉันรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร






Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial.

ความรัก . . . ก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ ... มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น






True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen.

รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่า เป็นอย่างไร






The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them.



ความเศร้าที่สำคัญ คือ การชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอ ๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณคุณรักพวกเค้า"






The way to love anything is to realize that it might be lost.

หนทางที่จะรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ การตระหนักสิ่งนั้น ๆ อาจจะสูญหายได้

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"


ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%



ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"




ขอบคุณข้อมูล : lib.ru.ac.th
ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจ ภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง "ค้างคาใจ" เขียนโดย สังคีต จันทนะโพธิ



ที่มา : pooyingnaka
เข้าใจทุกข์...เข้าใจธรรม
การเข้าใจทุกข์...ให้รอบด้านไม่ใช่เรื่องง่าย คนทั่วไปเขาก็เข้าใจ
ทุกข์ไปตามสติปัญญาอย่างโลกๆ ของเขา คือ...เข้าใจว่า ถ้าเมื่อ
ใด..'เรา'..ได้รับอารมณ์ที่เลวก็เป็นทุกข์ ถ้าเมื่อใด..'เรา'..ได้รับอารมณ์
ที่ดีก็เป็นสุข ส่วนนักปฏิบัติในเบื้องต้นจะเห็นว่า...ความสุขและ

ความทุกข์ทั้งหลายยังเป็นของที่แปรปรวน...เอาเป็นเครื่องให้ความ
สุขที่ถาวรไม่ได้ ต่อเมื่อใดผู้ปฏิบัติสามารถคุ้มครองจิตได้ด้วยสติ
ปัญญา จิตไม่เกิดความอยาก ไม่เกิดความยึดถือ และไม่เกิดความ
ดิ้นรนทางใจ เมื่อนั้นจิตจะไม่ทุกข์...

แต่เมื่อใดจิตเกิดความอยาก เกิดความยึดถือ และเกิดความดิ้นรน
ทางใจ เมื่อนั้นจิตจะเป็นทุกข์...ผู้ปฏิบัติในขั้นนี้จึงพยายามรักษาจิต
อย่างเป็นชีวิตจิตใจ ต่อเมื่อปฏิบัติมากเข้าจึงจะเข้าใจ..'อริยสัจจ์'...
ได้อย่างลึกซึ้งหมดจด....

คือ....ได้เห็นความจริงว่าขันธ์ทั้งปวง แม้แต่จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิก
บานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์ เข้าใจได้อย่างนี้....'จิตจะเกิดปล่อยวางจิต'...
แล้วได้พบกับสภาวะธรรมแห่งความสิ้นตัณหาหรือวิราคะ...และสิ้นความ
ดิ้นรนทางใจหรือวิสังขาร...นี่เองคือความเข้าใจ..'อริยสัจจ์'...อย่างแจ่ม
แจ้งถึงที่สุด...

สรุปแล้ว....ไม่ว่าจะเจริญวิปัสสนาด้วยการรู้อารมณ์รูปนาม อย่างใดใน
สติปัฏฐาน ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติ...มีสติระลึกรู้สภาวะของรูปนามและมีปัญญา
เข้าใจ ความเป็นจริงของรูปนามว่า...มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งสิ้น...
และในที่สุด.....'จิตจะเห็นแจ้งอริยสัจจ์ แล้วปล่อยวางความถือมั่นในรูปนาม
ได้ทั้งสิ้น'....ฯ

~พระปราโมทย์ ปาโมชโช~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์





เนื้อบัตเตอร์เค้ก 1/2 ถ้วย
บัตเตอร์ครีม 1/4 ถ้วย
ผงโกโก้ 1/3 ถ้วย
ชอคโกแล็ตแท้ 1 ก้อน
เมล็ดอัลมอนด์สับหยาบ 1/2 ถ้วย








1. ผสมเนื้อบัตเตอร์เค้ก บัตเตอร์ครีม และผงโกโก้ ลงใน
ชามอ่างตีส่วนผสมให้เข้ากันด้วยความเร็วปานกลาง
2. นำมาปั้นเป็นก้อนกลม จิ้มด้วยไม้จิ้มฟันหรือก้านอมยิ้ม
พักไว้
3. ตุ๋นชอคโกแล็ตแท้ ในหม้อตุ๋นให้ละลาย
4. หยิบเค้กที่ปั้นไว้ จับตรงก้าน ราดด้วยชอคโกแล็ตตุ๋น
แล้วชุบอัลมอนด์ที่เตรียมไว้ในถ้วย
5. พักไว้จนเย็น จึงเสิร์ฟ

ทราบหรือไม่ว่าการกินน้ำตาลมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...


ถึงแม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรคดังนี้


1. เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล


2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง


3. หากยังคงกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น


4. การกินน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน


5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการกินน้ำตาลมากเกินไป


6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"


7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่



รู้อย่างนี้แล้ว ควรกินน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมจะดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า กรรมการกำกับเส้นของกีฬาเทนนิส มักจะขานลูกออกผิดบ่อย มากกว่าการขานลูกดี ในการศึกษาการขานลูกออก 83 หน ได้พบว่า เป็นการขานลูกออกผิดเสีย 70 หน


คณะนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่สหรัฐฯ อธิบายสาเหตุของการขานลูกออกผิด ที่พบจากการศึกษาว่า เป็นเพราะการเกิดช่วงเวลาล้าหลัง แค่ไม่กี่เศษส่วนของวินาที เมื่อภาพกระทบจอตากับการเห็นภาพ ในการเห็นตำแหน่งของวัตถุใด ต้องผ่านหลายขั้นตอน เพราะสมองไม่เพียงแต่ต้องติดตามอย่างเดียว หากแต่ตาก็ต้องพลอยติดตามจับอยู่ด้วย จึงเกิดช่วงเวลาล้าหลัง เป็นเศษส่วนของวินาทีขึ้น ระหว่างภาพกระทบจอตา และการเริ่มเห็นจริง

นักวิชาการดึกดำบรรพ์วิทยาชื่อดังนายแจ็ค ฮอร์เนอร์ ลงทุนให้ทุนกับนักวิทยาศาสตร์ ช่วยกันคิดหาเทคนิค เพื่อย้อนกลับวิวัฒนาการ แปลงดีเอ็นเอของไก่ในปัจจุบัน ให้คืนกลับไปเป็นไดโนเสาร์ ยุคโลกเมื่อล้านปีขึ้นมาใหม่



นักวิทยาศาสตร์ผู้มีความคิด อยากจะย้อนวิวัฒนาการคืนกลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์ กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ในทวีปอเมริกาเหนือกำลังคิดค้นเทคนิคทางพันธุกรรมที่จำเป็นอยู่ และแจ้งว่า ขณะที่ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ในทวีปเอเชียต่าง ๆ ได้ลงมือวิจัยในขั้นต่อไป นั่นคือสร้างสัตว์โลกล้านปีให้กลับขึ้นมามีชีวิตใหม่อีก เขามั่นใจว่าไดโนเสาร์ที่จะเกิดจากการย้อนวิวัฒนาการกลับจากไก่ จะมีขึ้นภายในเวลา 5 - 10 ปีนี้


นายฮอร์เนอร์อ้างต่อไปว่า ไดโนเสาร์กลับชาตินั้น จะคงมีฟันและหางยาวกับขาที่มีเล็บ 5 เล็บแทนปีก ซ้ำจะมีขนตามตัว ด้วยซึ่งนักวิทยาศาสตร์เคยเกิดความเชื่อ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ว่า ไดโนเสาร์ที่มีขนปกคลุมก็เคยมี



เขาบรรยายไว้ในหนังสือที่เขาแต่งขึ้น ชื่อ "วิธีสร้างไดโนเสาร์ ไม่จำเป็นจะปล่อยให้มันสูญพันธุ์ ไปตลอดกาล" กำหนดจะพิมพ์ออกภายในเดือนนี้ต่อไปว่า "เรากำลังจะมีสิ่งซึ่งพิเศษแปลกประหลาดเกิดขึ้น"
10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว


วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี.

โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สงกรานต์ ที่แปลว่า "ก้าวขึ้น" "ย่างขึ้น" นั้นหมายถึง การที่ดวงอาทิตย์ ขึ้นสู่ราศีใหม่ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเดือน ที่เรียกว่าสงกรานต์เดือน แต่เมื่อครบ ๑๒ เดือนแล้วย่างขึ้นราศีเมษอีก จัดเป็นสงกรานต์ปี ถือว่าเป็น วันขึ้นปีใหม่ทางสุริยคติ ในทางโหราศาสตร์

มหาสงกรานต์ แปลว่า ก้าวขึ้นหรือย่างขึ้นครั้งใหญ่ หมายถึงสงกรานต์ปี คือปีใหม่อย่างเดียว กล่าวคือสงกรานต์หมายถึง ได้ทั้งสงกรานต์เดือนและสงกรานต์ปี แต่มหาสงกรานต์ หมายถึง สงกรานต์ปีอย่างเดียว


วันเนา แปลว่า "วันอยู่" คำว่า "เนา" แปลว่า "อยู่" หมายความว่าเป็นวันถัดจากวันมหาสงกรานต์มา ๑ วัน วันมหาสงกรานต์เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ย่างสู่ราศีตั้งต้นปีใหม่ วันเนาเป็นวันที่ดวงอาทิตย์เข้าที่เข้าทาง ในวันราศีตั้งต้นใหม่เรียบร้อยแล้ว คืออยู่ประจำที่แล้ว


วันเถลิงศก แปลว่า "วันขึ้นศก" เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การที่เปลี่ยนวันขึ้นศกใหม่มาเป็นวันที่ ๓ ถัดจากวันมหาสงกรานต์ ก็เพื่อให้หมดปัญหาว่า การย่างขึ้นสู่จุดเดิม สำหรับต้นปีนั้นเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่จะเปลี่ยนศกถ้าเลื่อนวันเถลิงศกหรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่มาเป็น วันที่ ๓ ก็หมายความว่า อย่างน้อยดวงอาทิตย์ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ ไม่น้อยกว่า ๑ องศาแล้วอาจจะย่างเข้าองศาที่ ๒ หรือที่ ๓ ก็ได้

วันสงกรานต์เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ซึ่งกษัตริย์สิงหศแห่งพม่า ทรงตั้งขึ้นเมื่อปีกุนวันอาทิตย์ พ.ศ. ๑๑๘๑

โดยกำหนดเอาดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษได้ ๑ องศา ประกอบกับไทยเราเคยนิยมใช้จุลศักราช สงกรานต์จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยอีกด้วย ในปีแรกที่กำหนดเผอิญเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่วันที่ ๑๓ เมษายนทุกปี แต่เมื่อเป็นประเพณี ก็จำเป็นต้องเอาวันนั้นทุกปี เพื่อมิให้การประกอบพิธี ซึ่งมิได้รู้โดยละเอียดต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วันที่ ๑๓ จึงเป็นวันสงกรานต์ของทุกปี


ปกติวันสงกรานต์จะมี ๓ วัน คือ เริ่มวันที่ ๑๓ เมษายน ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน วันแรกคือวันที่ ๑๓ เป็นวันมหาสงกราต์ วันที่พระอาทิตย์ต้องขึ้นสู่ราศีเมษ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา (พระอาทิตย์คงอยู่ที่ ๐ องศา) วันที่ ๑๕ เป็นวันเถลิงศกใหม่ และเริ่มจุลศักราชในวันนี้ เมื่อก่อนจริงๆ มีถึง ๔ วัน คือวันที่ ๑๓ -๑๖ เป็นวันเนาเสีย ๒ วัน (วันเนาเป็นวันอยู่เฉยๆ) เป็นวันว่าง พักการงานนอกบ้านชั่วคราว จะเห็นได้ว่า วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึง พ.ศ.๒๔๘๓ ทางราชการจึงได้เปลี่ยนไหม่ โดยกำหนดเอาวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับ หลักสากลที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ ประชาชนก็ยังยึดถือว่า วันสงกรานต์มีความสำคัญ



ข้อมูลจาก .zabzaa.คอม

มีท่านเศรษฐีผู้หนึ่งไม่มีบุตรแต่ต้องการบุตรมาก ด้วยถูกนักเลงสุราที่บ้านใกล้กันนั้นกล่าวคำหยาบช้าต่อเศรษฐี ท่านเศรษฐีจึงกล่าวถามว่า "เหตุใดท่านจึง กล่าวดูถูกเราผู้มีสมบัติมาก"

นักเลงสุราตอบกลับว่า "ถึงแม้ท่านเป็นผู้มีสมบัติมาก แต่ท่านก็ไม่มีบุตร เมื่อเสียชีวิตแล้ว สมบัติเหล่านี้ก็สูญเปล่า เรานั้นมีบุตร ย่อมประเสริฐกว่า" ท่านเศรษฐีจึงได้จัดพิธีบวงสรวงขอบุตรจากพระอาทิตย์ และพระจันทร์ รอนานสามปีก็มิได้เกิดบุตร เมื่ออาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ท่านเศรษฐีจึงพาบริวารไปบวงสรวงขอบุตรจากพระไทร พระไทรมีความเมตตาสงสารเศรษฐีผู้นี้ จึงได้ขึ้นไปบนสวรรค์ทูลขอบุตรจากพระอินทร์ให้แก่เศรษฐี ผู้นั้น พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลกุมารเทวบุตรลงมาเกิดเป็นบุตรของท่านเศรษฐี

เมื่อภรรยาของท่านเศรษฐีคลอดบุตร ท่านเศรษฐีได้ปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำ และตั้งชื่อให้ว่าธรรมบาลกุมารธรรมบาลกุมารนี้เป็น เด็กที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างมาก เรียนรู้ไตรเทพจบเมื่ออายุ ๗ ขวบอีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ภาษานกได้อีก ความดังกล่าวได้ล่วงรู้ถึงท้าวกบิลพรหม ท่านจึงต้องการที่จะทดสอบปัญญาของธรรมบาลกุมาร ท้าวกบิลพรหมจึงได้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ถามปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อคือ


ข้อที่ ๑ เช้าราศีสถิตอยู่แห่งใด

ข้อที่ ๒ เที่ยงราศีสถิตอยู่แห่งใด

ข้อที่ ๓ ค่ำราศีสถิตอยู่แห่งใด



และตกลงกันว่า ถ้าธรรมกุมารสามารถตอบปัญหา ๓ ข้อนี้ได้ ภายใน ๗ วัน จะตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบปัญหาได้ ธรรมบาลกุมารต้องตัดศีรษะของตนบูชาท้าวกบิลพรหมเช่นกัน


เวลาล่วงเลยไปถึง ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ด้วยความกลัวอาญาท้าวกบิลพรหม ธรรมบาลกุมาร จึงได้หนีไปแอบซ่อนอยู่ใต้ต้นตาลและบนต้นตาลนั้นมีนกอินทรี ๒ ตัว ผัวเมียทำรังอยู่นกอินทรีทั้งสองได้สนทนากันอยู่ในเรื่องการออกไปหากินในวันพรุ่งนี้

นางนกอินทรี : "พรุ่งนี้เราจะไปหากินที่ไหนกันดี "
นกอินทรีตัวผู้ : "พรุ่งนี้เราไม่ต้องออกไปหากินไกลหรอก ด้วยพรุ่งนี้ธรรมบาลกุมารจะต้องตัดศีรษะบูชาท้าวกบิลพรหม เนื่องจากตอบปัญหาไม่ได้"
นางนกอินทรี : "น่าสงสารกุมารน้อยยิ่งนัก ท้าวกบิลพรหมก็ช่างถามปัญหาที่มนุษย์เกินจะตอบได้"
นกอินทรีรู้สึกหมั่นไส้นางนกอินทรีจึงได้บอกถึงคำตอบที่ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารให้นางนกอินทรีได้รู้
นกอินทรีตัวผู้ : "ราศีแห่งมนุษย์นั้นจะสถิตอยู่ที่ร่างกายต่างวาระกัน คือ เวลาเช้าจะสถิตอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงต้องล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีสถิตอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องปะพรมน้ำที่หน้าอก และเวลาค่ำสถิตอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้า จึงจะพ้นอัปรีย์จัญไรทั้งปวง"


ธรรมบาลกุมารเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ได้จดจำคำตอบและนำไปบอกแก่ท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงจำต้องตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของท้าวกบิลพรหมมีพิษมาก คือ ถ้าตัดแล้วตั้งไว้บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นสู่ท้องฟ้าฝนก็จะตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำก็จะเหือดแห้ง ท้าวกบิลพรหมจึงรับสั่งเรียกธิดาทั้ง ๗ เพื่อให้นำเศียรของท้าวกบิลพรหมไปแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วจึงนำไปเก็บไว้ในมณฑปถ้ำธุลีเขาไกรลาศ ครั้นครบกำหนด ๓๖๕ วัน (โลกสมมุติว่าเป็น ๑ปี) เป็นสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่นั้นเอง นางสงกรานต์ก็จะต้องนำเศียรของท้าวกบิลพรหมแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นประจำทุกปี



ข้อมูลจาก .zabzaa.คอม
จงระวังกับดักความสำเร็จทั้ง 9 ประการ



ความสำเร็จชักนำพฤติกรรมที่เป็นภัยคือ ขาดความเร่งรีบ มีทัศนคติ ปกป้องและหลงตัวเอง และคิดแบบอภิสิทธิ์ชนสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การยึดติดวิธีคิดแบบดั้งเดิม ที่ร้ายที่สุดคุณเชื่อว่า สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้คุณประสบความสำเร็จ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จตลอดไป ผมเชื่อว่ามีอยู่ 9 กับดักที่คนหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จมักจะติดอยู่บ่อยครั้ง



กับดักที่ 1 เมินเฉยยึดติดกับวิธีหารายได้ในอดีต



รูปแบบธุรกิจหรือช่องทางหารายได้ในทีนี้หมายถึงสิ่งที่คุณทำหรือวิธีที่คุณเม้นมันรวมถึงประเด็น เช่นการตัดสินใจว่าคุณจะแข่งขันในธุรกิจไหนและวิธีที่คุฯใช้จัดการเป็นขั้นตอนต่างๆที่จำเป็นเพื่อนที่จะแข่งขันในธุรกิจนั้น เช่นเราจะผลิตเองหรือจะจ้างผลิต เราจะขายแบบไหนขายสินค้าหรือขายบริการ องค์กรควรทบทวนองค์ประกอบทั้งหมดที่เกี่ยวพันกับรายได้ของตัวเองเป็นประจำ มองหาจุดบกพร่องที่ต้องปรับปรุง จุดบกพร่องหรือจุดอ่อนในที่นี้หมายถึง ล้าสมัยแพงเกินไป ช้าเกินไปหรือไม่ยืดหยุ่น มีด้านไหนในการสร้างรายได้ที่สูสีกับคนอื่นและมีไอเดียบรรเจิดเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในด้านเหล่านั้นหรือไม่



กับดักที่ 2 ลำพองใจปล่อยให้สินค้าล้าหลัง



คุณอาจจะภูมิใจสุดๆกับสินค้าหรือบริการของคุณในวันนี้แต่คุณจำเป็นต้องคิดเผื่อไว้มันกำลังจะกลายเป็นสินค้าที่ด้อยคุณภาพกว่าคู่แข่งในอีกไม่นานคุณจำเป็นต้องเร่งรีบที่จะเอาชนะคู่แข่ง สิ่งที่น่าอัศจรรย์ของความสำเร็จคือ มันทำให้ความคิดแบบอภิสิทธิ์ชนในจิตใต้สำนึก ซี่งเป็นเหตุให้คุณเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องทำทุกวิธีเพื่อเรียนรู้และเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยละเอียดอีกต่อไปแล้ววิเคราะห์วิธีการต่างๆในการขาย กระโดดเข้าหาเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อปรับปุงผลิตภัณฑ์และทุกเรื่องที่จำเป็นต่อการยืนอยู่ตรงหน้าคนอื่น



กับดักที่ 3 บ่นเบื่อ ปล่อยให้แบรนด์ที่เคยประสบความสำเร็จจืดชืดไม่หวือหวาน่าตื่นเต้น



การที่แบรนด์บรรลุความโดดเด่นพิเศษอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรักษาความสดใหม่และร่วมสมัยเป็นงานที่แสนยาก เมื่อแบรนด์บรรลุความสำเร็จบางอย่าง ก็มีแนวโน้มนั่งใจเย็น และปล่อยให้แบรนด์จืดชืดแสนธรรมดา ความสำเร็จมักจะทำให้เราละเลยการวิจันตลาด และเครื่องมือต่างๆที่จะช่วยให้เราเข้าใจท่าทีของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าของเราและสินค้าของคู่แข่งรวมถึงท่าทีต่อสิ่งที่เราทำ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีและเราจะได้ก้าวต่อไป



กับดักที่ 4 ยุ่งเหยิงซับซ้อน ปล่อยปละละเลยธุรกิจ ปล่อยให้ธุรกิจอุ้ยอ้ายและยุ่งเหยิง



องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักจะให้รางวัลแก่ตัวเองด้วยการเพิ่มคนและแตกกระบวนการจนไร้ระเบียบและมาตรฐาน สิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นจากการสร้างความชัดเจนทางธุรกิจมันอาจเกิดที่หน่วยธุรกิจย่อยในบริษัทหาทางเพิ่มอำนาจในการจัดการของตัวเองซึ่งทำให้เขาสามารถจัดการทรัพยากรของตัวเองได้



กับดักที่ 5 ขยายจนบวมเชื่องช้าไม่คล่องแคล่วว่องไว



คนและองค์กรที่ประสบความสำเร็จมีแนวโน้มที่จะสร้างความซับซ้อนพวกเขาจ้างคนเพิ่มจำนวนมากเพราะสิ่งต่างๆราบรื่นอย่างเห็นได้ชัดเจนและพวกเขาค้นพบสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำบ่อยครั้งก็เพื่อลำดับขั้นการบังคับบัญชาตั้งส่วนงานที่ซับซ้อนกับส่วนงานเดิมทำให้ยากในการตอบโต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทที่จะประสบความสำเร็จฝ่ายต่างๆ จะสร้างระบบที่คุณจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้การหาข้อมูลง่ายๆ เช่น จำนวนพนักงานด้านการเงินมีกี่คน แทบจะไม่ได้เป็นระบบจะถูกแบ่งแยก และการเก็บข้อมูลมีหลายมาตรฐาน



กับดักที่ 6 อยู่แบบไม่ดีไม่เลว ไม่เอาผิดคนที่ไม่มีผลงาน ปล่อยให้พนักงานเก่งๆท้อแท้



เมื่อองค์กรประสบความสำเร็จพวกเขามีแนวโน้มที่จะหยุดทำงานหนักและจัดการกับผลงานที่ย่ำแย่อย่างจริงจัง มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะย้ายคนใหม่กลับไปยังแผนกเดิม เพราะมีภาวะให้คนทำงานคนใหม่ฝึกทำงานได้เร็ว และแผนกเดิมอาจถูกมองว่าขาดความชำนาญ คนที่มีผลงานดีแนวโน้มอาจจะถูกละเลย ผลที่ตามมาซึ่งเกิดขึ้นกับองค์กรหลายๆแห่ง คนที่ลางานไปนานๆและมีผลงานที่ย่ำแย่ไม่ถูกดำเนินการ มันจึงเป็นโชคร้ายขององค์กรที่แนวโน้มคนที่ทำงานดีจะหมดความท้าทายไปเลยทีเดียว



กับดักที่ 7 เฉื่อยชา นิ่งนอนใจกับความสบายและความมั่นใจ



ความสำเร็จทำให้คนเชื่อว่าตัวเองเก่งและไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ยากลำบาก ขาดความเร่งรีบ หรือความรู้สึกว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นที่ไหนก็ได้ ผู้นำเป็นผู้ที่กำหนดกรอบความคิดเรื่องวัฒนธรรมความพึงพอใจ แนวโน้มที่เกิดขึ้นคือความภูมิใจกับความสำเร็จและปกป้องวิธีปฏิบัติที่ทำให้บรรลุความสำเร็จในจุดนั้น ความโน้มเอียงเหล่านั้นจะนำมาสู่มุมมองที่คับแคบวัฒนธรรมที่มั่นใจสุด ที่ทำให้คนคิดว่าพวกเขาเป็นทีมงานที่ประสบความสำเร็จในขณะที่ความเป็นจริงโลกกำลังก้าวข้ามคนเราเหล่านี้ไป



กับดักที่ 8 ขลาดกลัว ไม่เผชิญหน้ากับกลุ่มอิทธิพลในองค์กร ขัดแย้งภายใน



ความสำเร็จมักนำไปสู่การจ้างคนมากเกินไป การแบ่งแยกองค์กรออกเป็นส่วนย่อยๆ หน่วยธุรกิจ บริษัทในเครือ ทำงานหนักเพื่อบริหารอย่างอิสระเท่าที่จะเป็นไป บ่อยครั้งเป็นการสร้างกลุ่มงานใหม่ๆที่ทำงานซับซ้อนกับงานเดิมที่ได้รับการจัดสรรทรัพยากรตรงกลางอยู่แล้ว กลุ่มที่แตกแยกออกมามีหน้าที่เหมือนกลุ่มเดิมแต่คนละหน่วยงาน ยิ่งร้ายไปหว่านั้น จะยิ่งมีวัฒนธรรมความใจแคบ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นใครได้เลื่อนตำแหน่ง การบางฝักฝ่าย ขัดแย้งขัดแข้งขัดขาภายในองค์กรมีที่มาจากความไม่ชัดเจนทิศทางที่องค์กรจะไป การตัดสินใจเรื่องสำคัญล่าช้า เมื่อเกิดความบกพร่องทางด้านบริหาร คนทำงานจะถูกปล่อยให้ไหลเลื่อนไปคนละทิศคนละทางในที่สุดจะทำให้เสียเวลามหาศาลเมื่อแต่ละกลุ่มโต้แย้งเพื่อแนวทางตัวเอง




กับดักที่ 9 สับสนยุ่งเหยิง การสื่อสารภายในองค์กรไม่ชัดเจน



เมื่อองค์กรประสบความสำเร็จมั่นคง ผู้บริหารมักจะขาดหนทางที่ชัดเจนว่าองค์กรจะเดินต่อไปทางไหน บางครั้งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้แต่ไม่ยอมรับและไม่พยายามที่จะตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาพวกเขาก็เลยทำมันทุกอย่างเปิดช่องสำหรับทุกทางเลือก โดยไม่พยายามตัดสินใจและวางแผนพัฒนา พฤติกรรมนั้นทำให้คนคาดเดาไปต่างๆนานา บนพื้นฐานความคิดเห็นของตัวเองที่ได้รับมาโดยตลอด บางครั้งความคิดเห็นเหล่านั้นไม่ได้ตละเตรียมออกมาก่อน เมื่อพนักงานได้รับข้อมูลข่าวสารที่สับสนและไม่มีภาพที่ชัดเจนของทิศทางหรือความก้าวหน้าที่องค์กรตั้งใจจะไปพวกเขาจะรู้สึกอ่อนแอและจะปกป้องงานที่ตัวเองทำอยู่

สิ่งที่ไม่ดี..ไม่สวยงาม...
ที่เราใช้แล้ว...ชำรุด ..ทรุดโทรม..ใช้การไม่ได้อีกต่อไป...
>>>…เรียกว่า... “ขยะ”...

ถ้าพูดถึงขยะ..
หลายคนคงเข้าใจดีแล้วว่า...
>>>…ในขยะที่เหลือใช้แล้ว...ที่คนส่วนใหญ่นำไปทิ้ง...
>>>…เพราะเห็นว่า “ไม่มีคุณค่า – ไม่มีประโยชน์”

แต่ในสิ่งที่เรามองเห็นว่า...
>>>…ไม่มีคุณค่า - ไม่มีประโยชน์ สำหรับเรา..
>>>…อาจมีคุณค่า..สำหรับผู้เก็บของเก่า...
>>>…ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยน..เป็นเงินได้...

แต่สำหรับขยะทางความคิด...
และขยะทางอารมณ์นั้น...
>>>…หามีประโยชน์แต่อย่างใดไม่...
>>>…ยิ่งกลับจะเป็นอันตราย...ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างด้วย...

เพราะผู้ที่ชอบเก็บสะสมขยะทางความคิด..ขยะทางอารมณ์..
>>>…เมื่อเก็บสะสมไว้มาก ๆ ...
>>>…ก็จะทำให้เกิดมะเร็งร้ายในจิตใจ – ในอารมณ์ความรู้สึกได้..

เราจึงไม่ควรที่จะเก็บหรือรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ในจิตใจเลย..
>>>…แต่สมควรอย่างยิ่ง..
>>>…ที่จะหมั่นตรวจ ..หมั่นเก็บกวาด..
>>>…นำขยะทางความคิด-ขยะทางอารมณ์...ออกไปทิ้งเสีย..โดยพลัน..

เพราะขยะทางความคิด..
>>>…ได้แก่..ความคิดที่ไม่ดี...ไม่ถูกต้อง..ไม่ดีงาม..
>>>…ผิดจากทำนองคลองธรรม..เป็นมิจฉาทิฎฐิ..(เห็นผิด)..
>>>…คิดในแง่ร้าย...ชอบมองแง่ลบ...
>>>…มีความคิดเห็นเชิงลบ..ไม่สร้างสรรค์...
>>>…คิดสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์..ให้โทษแก่ตนเองและผู้อื่น...

สิ่งเหล่านี้ถือว่า...
เป็นขยะทางความคิด..
>>>…ซึ่งถ้าสะสมไว้มาก ๆ ..
>>>…ก็จะก่อตัวเป็นมะเร็งร้ายทางความคิดได้..
>>>…และจะทำให้จิตใจขุ่นมัว...มืดมน..
>>>…ทำลายสติปัญญา..เกิดความโง่เขลาทางจิตใจ...

ส่วนขยะทางอารมณ์..
>>>…ได้แก่..อารมณ์โลภ โกรธ หลง อิจฉา-ริษยา..
>>>…อารมณ์เบื่อ..อารมณ์เซ็ง...
>>>…อารมณ์เหงา..อารมณ์เศร้า..และอื่น ๆ อีกมากมาย...
>>>…ถือว่า..เป็นขยะทางอารมณ์..
ถ้าใครมีมาก ...สะสมไว้มาก...ไม่ยอมสละออก..
ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา..
ที่เราเรียกว่า... “มะเร็งร้ายทางอารมณ์”
ที่จะค่อย ๆ กัดกร่อน...ทำร้ายจิตใจของเราทุก ๆ ขณะ ๆ
ที่อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจเรา...


คนเรามีขยะทางความคิด – ทางอารมณ์เหมือนกันทุกคน..
แต่แตกต่างกันที่ว่า...
>>>…เมื่อขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น..
>>>…เราจะมีวิธีการนำขยะเหล่านั้นออกจากจิตใจได้อย่างไร ???

การเรียนรู้ที่จะนำขยะทางความคิด - ทางอารมณ์ออกจากจิตใจ
สามารถทำได้ง่าย ๆ ก็คือ...
๑. ไม่ยอมเก็บ
๒. ไม่ยอมสะสม

ดังนั้น..ทุกครั้งที่ขยะทางความคิด – ขยะทางอารมณ์เกิดขึ้น..
>>>…เราต้องรีบปฏิเสธโต้กลับมันทันที
>>>…คือ.. ไม่ยอมรับ ไม่สะสม ไม่เก็บ
>>>…และรู้เท่าทันมันอย่างเข้าใจ..
>>>…ก็จะสามารถสละมันออกจากจิตใจได้..


บทความ...โดย..ชายน้อย...

หากฟังดูผิวเผิน..
หลายคนคงจะนึกแปลกใจว่า..
>>>…ทำไม..จึงชื่อว่า..
>>>…“เรื่องไม่เป็นเรื่อง”..

ก็เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้แหละ.. “จึงเกิดเรื่องขึ้น”
>>>…จากเหตุผลบางอย่าง..
>>>…จากความคิดที่แตกต่าง...
>>>…จากความเข้าใจไปคนละเรื่อง..
>>>…จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด..

เพราะคิดว่า..
>>>…คงใช่..หรืออาจจะใช่..
>>>…เห็นสมควรด้วย...ลงความเห็นว่า...ฯลฯ..
อะไรทำนองนี้...

จะเห็นได้ว่า...
จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง...ก็กลายเป็นเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมากมาย...

บางครั้งจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
>>>…ก็ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่..เกิดความบาดหมาง..
>>>…เกิดความไม่เข้าใจ...จนทำให้เกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ

เนื่องจากการสื่อสารรอบทิศทาง...
ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิต..
>>>…ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายสำหรับผู้ที่นิยมเสพข่าวสาร...
>>>…โดยไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณา กลั่นกรอง...

>>>… “ข่าวลือ”
ถือว่า..เป็นกุศโลบายในการทำลายล้างความสามัคคี..
ได้ดีกว่า..ยุทโธปกรณ์นานาชนิด..

>>>…เพียงเพราะลมปาก...
ปากต่อปาก.. >>เป็น ๒ ปาก >> ๓ ปาก
แล้วกลายเป็น...ปากหอย...ปากปู..ปากปลา งั้นแหละ..
จนทำให้เรื่องไม่เป็นเรื่อง..กลายเป็นเรื่องขึ้น..
จากเรื่องเล็ก..กลายเป็นเรื่องใหญ่...

ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์เราทุกคน..
>>>…ชอบที่ฟังข่าวลือ..ปากต่อปาก..
>>>…อะไรที่ห้าม..ก็มักจะชอบ..(ทำ)..ชอบ..(ละเมิด)..
แม้ไม่ได้เห็นก็ตาม..
แต่พอได้ยิน..ได้ฟัง..ก็เชื่อแล้ว ๘๐ %

การฟังโดยไม่ได้พิจารณาอย่างตริตรอง..
ก็มีผลเสียเช่นกัน..
โบราณจึงสอนว่า...
>>>…๑๐ ปากว่า ไม่เท่า...ตาเห็น
>>>…๑๐ ตาเห็น ไม่เท่า...๑ ทำ..

ดังนั้น..
วิธีการสยบข่าวลือบางข่าวที่ฟังมา..
>>>…ให้ตั้งสติก่อนสักนิด..
>>>…อย่าพึ่งเทใจเชื่อเสียหมด..
คือ..อย่าเพิ่งเชื่ออะไร ๆ ง่าย ทันทีทันใด...
อย่างน้อยตั้งแบ่งความเชื่อ ๕๐-๕๐ ก่อน
พอได้ยิน..ได้เห็น..ได้ใช้สติพิจารณา...
ก็ต้องใช้หลักสูตร (๒๐-๓๐-๕๐)
เป็นสูตรพิเศษในการพิจารณาความจริง...
>>>…คือ...ฟัง (๒๐), เห็น (๓๐)
>>>…และ..ใช้สติพิจารณา..ลงมือทำ (๕๐)
>>>…แต่ที่สำคัญอย่าใช้การฟังโดยเชื่อ ๑๐๐ %

หากเราพิจารณาดูให้ดี..
จะเห็นว่า...
ธรรมชาติก็สอนการพูด..การฟัง..อย่างชัดเจน..
>>>…ทำไม..คนเราจึงมี ๒ หู, มี ๒ ตา
>>>…และทำไม..คนเราจึงมีเพียงแค่ปากเดียว...

นั่นก็สื่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่า...
ธรรมชาติสอนให้คนเรา...
>>>…ใช้การฟัง..การเห็น..ให้มาก ๆ อย่าเพิ่งใส่ใจเชื่ออะไรง่าย ๆ

แต่การใช้ปากนั้น..
>>>…ก็ให้พูดในน้อยลง..
>>>…และใช้สติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญอย่างท่องแท้...

เรื่องไม่เป็นเรื่องจะได้ไม่เกิดขึ้น...
ทั้งนี้..จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง...
>>>…ก่อนพูด..เราเป็นนายคำพูด...
>>>…แต่พอพูดแล้ว...เราเป็นทาสของคำพูด...
>>>…ต้องระวังและใส่ใจในคำพูด คิดก่อนพูด
>>>…พิจารณาดูว่า..สิ่งใดควรพูด...สิ่งใดไม่ควรพูด..
>>>…เพราะถ้าพูดออกไปแล้ว..ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดนั้น...

ขอให้พวกเราทุกคน..
พิจารณาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ดูเถิด...
ถ้าเราพยายามปรับทัศนคติ..ความคิดเห็น..ที่มีต่อกัน
ปรับอารมณ์ความรู้สึก...สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง..
และเห็นจริง..ตามความเป็นจริง..ไม่ปกปิด..ปิดบัง..จากความเป็นจริง..
เรื่องไม่เป็นเรื่อง..ก็คงไม่เกิดขึ้น...อย่างแน่นอน..

บทความ...โดย..ชายน้อย
เครื่องปรุง

เส้นอุด้งสด 1 ถ้วย
ปูอัดหั่นเฉียง 2 อัน
ผักกาดแก้ว 3 ใบ
มะเขือเทศหั่นเป็นเสี้ยว 4 ชิ้น
ผักชีฝรั่งสับละเอียด 1 ช้อนชา
ซอสหมูทอด 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำสลัดน้ำข้น 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ



เครื่องปรุงซอสหมูทอด


ซอสมะเขือเทศ 1/2 ถ้วย
ซอสญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
มัสตาร์ดผง 1/4 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา


ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งไฟกลางพอเดือด คนตลอดเวลา โดยใช้ตะกร้อตีไข่ จนซอสเนียน ยกลง


เครื่องปรุงน้ำสลัดน้ำข้น


แครอทสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
เกลือป่น 2 ช้อนชา
มัสตาร์ดผง 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
น้ำมันสลัด 1 ถ้วย


ผสมน้ำตาล เกลือ พริกไทย มัสตาร์ด น้ำส้มสายชูเข้าด้วยกัน คนให้น้ำตาลละลาย ตีไข่แดงให้ขึ้น ค่อยๆ ใส่น้ำมันทีละน้อย จนเหลือครึ่งหนึ่ง ใส่สลับกับส่วนผสมน้ำส้มสายชูจนหมด ตีให้เข้ากันจนเป็นครีมขาวข้น เวลาจะเสิร์ฟใส่แครอท คนให้เข้ากันมิลลิกรัม



วิธีทำ



1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อนใส่ซอสหมูทอด เส้นอุด้ง ผัดจนซอสแห้ง ตักใส่จาน โรยด้วยผักชีฝรั่งสับ
2. จัดปูอัดใส่จานอุด้งเรียงให้สวยงาม จัดผักกาดแก้ว มะเขือเทศ ที่หัวจาน ราดด้วยน้ำสลัดน้ำข้น ตกแต่งด้วยใบชิโซ



ที่มา :naichef

แต่ละมื้อที่เรากินไปบางคนอาจจะไม่รู้ว่ากว่าอาหารจะย่อยเนี่ยต้องใช้เวลากี่นาที หรือเป็นชั่วโมง วันนี้เรามาดูกันว่า ของโปรดเราที่กินกันทุกวันเนี่ยเป็นอาหารที่ย่อยยากรึเปล่า !!


30 นาที น้ำ กาแฟ และแกงจืด


1 ชั่วโมง ขนมปังขาว โยเกิร์ต นม ผลิตภัณฑ์นม และผลไม้ที่ให้สุกด้วยการหุงต้ม


2 ชั่วโมง ผลไม้ ผัก มันผรั่งบด ปลาไขมันต่ำ


3 ชั่วโมง ครัวซองต์ ขนมปังโฮสวีต


4-7 ชั่วโมง เนื้อหมู ของทอด เห็ด ผลไม้เปลือกแข็ง


8-9 ชั่วโมง ขาหมู ผักกะหล่ำ




...อาหารที่ย่อยง่ายก็ช่วยให้ระบบการขับถ่ายของเราดีขึ้นอีกด้วย.....



ขอบคุณข้อมูลจาก FWWDER

มีบริษัทหนึ่งประกาศรับสมัครพนักงานใหม่หนึ่งคน และมีคนมาสมัครมากมายหลายร้อย บริษัทนั้นให้ผู้สมัครทุกคนทำตอบคำถามหนึ่งข้อ ซึ่งคำถามมีอยู่ว่า

ในดึกคืนหนึ่งที่ฝนตกฟ้าคะนองขนาดหนักมากและคุณกำลังขับรถกลับบ้าน
ขณะที่ขับผ่านป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง
คุณพบคนสามคนกำลังรอให้ฝนหยุดเพราะดึกเกินกว่าจะมีรถเมล์วิ่งแล้ว

คนสามคนนั้นคือ
1. หญิงชราที่กำลังป่วยและต้องการการรักษาด่วน
มิฉะนั้นเธออาจจะตายได้

2. หมอซึ่งครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตคุณไว้

3. ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนของคุณและคุณรักเขามากขนาดจะแต่งงานกับเขาให้ได้

คำถามมีอยู่ว่า รถคุณเป็นแบบนั่งได้แค่สองคน
ดังนั้นคุณจะรับคนไปด้วยได้อีกแค่คนเดียว
คุณจะรับใครไปด้วย และให้เหตุผลที่ตัดสินใจอย่างนั้น

พวกเราก็ลองคิดดูสิว่าถ้าเราเป็นคนตอบคำถามข้อนี้
เราจะตอบว่ายังไง แล้วเทียบกับเหตุผลข้างล่าง

เอาล่ะ

ลองดูเหตุผลของคำตอบแต่ละแบบแล้วเทียบกับเหตุผลของคุณ เนื่องจากแต่ละข้อก็มีเหตุผลที่เหมาะสมในตัวของมันเอง

เหตุผลข้างล่างนี้
เป็นเหตุผลของคนเกือบทุกคน

1. ถ้าคุณตอบว่ารับคนแก่ เหตุผลก็เพราะเขากำลังจะตาย ถ้าคุณรับไปก็เท่ากับช่วยชีวิตคนได้

2. ถ้าคุณตอบว่ารับหมอ เหตุผลก็เพราะเขามีบุณคุณกับคุณ และนี่คือเวลาที่จะตอบแทนได้บางส่วน

3. ถ้าคุณตอบว่ารับแฟนคุณ เหตุผลก็เพราะ
เขาเป็นคนที่คุณรัก

คิดว่าตรงแค่ไหนล่ะ แต่ผู้ที่บริษัทนั้นรับเข้าทำงาน
เป็นผู้เดียวที่ตอบอีกแบบนึง...ให้คิดอีกที
คำตอบข้างล่าง
เขาตอบว่า 'เขาจะให้กุญแจรถกับหมอ
ให้หมอพาคนแก่ไปโรงพยาบาล
และเขาก็จะอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น กับคนที่เขารัก'

เป็นไง ประหลาดใจกับคำตอบใช่ไหม
และคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ดีมากใช่ไหม
ข้อคิดของเรื่องนี้คือ

คนเรามักจะยึดติดและไม่ยอมปล่อยผลประโยชน์ตรงหน้า (กุญแจรถ และการกลับบ้าน) ทำให้เรามองอะไร ด้วยมุมมองที่แคบลง จะเห็นว่าการมอบกุญแจรถให้หมอ นอกจากจะได้ตอบแทนบุญคุณ (หมอก็คงไม่ยึดรถไปเป็นของตัวเองหรอก ภายหลังก็เอามาคืน)

เรายังได้ช่วยชีวิตหญิงชรา แถมได้อยู่กับคนที่เรารัก
แบบสองต่อสอง เรียกได้ว่าเสียไปแค่ไม่ได้กลับบ้านในตอนนั้น! แต่เราบรรลุวัตถุประสงค์ใหญ่อีกหลายอย่างได้ คุณล่ะ คิดว่าคุณมีมุมมองที่กว้างหรือแคบและยึดติดกับผลประโยชน์ต่าง ๆ แค่ไหน.....


ขอบคุณข้อมูลจาก FWWDER
เครื่องปรุง

เส้นจันท์,ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 200 กรัม
ปูม้าหรือปูทะเลขนาดย่อม 2 ตัว
พริกบางช้างสีแดง 4 เม็ด
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลอ้อย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด
ผักกินแนม เช่น ถั่วงอก กุยช่าย แตงกวาซอย


วิธีทำ


1. แช่เส้นจันท์ในน้ำให้นุ่ม เอาขึ้นให้สะเด็ดน้ำ ล้างปู แกะกระดองปูออก สับเป็นสองท่อน
2. แช่พริกในน้ำ แกะเมล็ดออก โขลกรวมกับหอมแดงให้ละเอียด
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ พอน้ำมันร้อน ใส่ปูลงทอดให้กรอบ ตักขึ้น
4. ใส่น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ ลงในกระทะ ใส่เครื่องที่โขลกในข้อ 2 ลงผัดกับน้ำมันให้หอม ใส่เส้นจันท์ ผัดให้เข้ากัน
5. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำตาลอ้อย น้ำตาลทราย ชิมรสให้กลมกล่อม ผัดพอทั่ว ใส่ปู ผัดพอทั่ว
6. จัดเส้นจันท์ผัดปูใส่จาน รับประทานกับถั่วงอก กุยช่าย และแตงกวาซอย



ที่มา:naichef

เครื่องปรุง

ปลากระทิง 2 ตัว
มะพร้าวขูด 500 กรัม
พริกอ่อนหั่นแฉลบ 1 เม็ด
ใบมะกรูด 3 ใบ
ใบโหระพาเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย
ใบกะเพราเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย
กระชายหั่นฝอย 1/2 ถ้วย
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ



เครื่องแกง

พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 9 เม็ด
พริกขี้หนู 9 เม็ด
ข่าหั่นละเอียด 5 แว่น
ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดง 7 หัว
กระเทียม 3 กลีบ
ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
พริกไทย 7 เม็ด


โขลกเครื่องแกงทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด



วิธีทำ

1. เคล้าตัวปลากระทิงกับเกลือให้ทั่ว ผ่าท้องเอาไส้ออก ล้างจนสะอาดและหมดเมือก
2. หั่นครึ่งตัวแล้วบั้งทั้ง 2 ด้าน ย่างพอสุกหอม
3. คั้นมะพร้าวให้ได้หัวกะทิ 1 ถ้วย หางกะทิ 2 ถ้วย
4. เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน ใส่เครื่องแกงที่โขลก ผัดจนมีกลิ่นหอม
5. ใส่ปลากระทิง ผัดพอสุกทั่ว ฉีกใบมะกรูดใส่ ปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่กระชาย พริกอ่อน ใบกะเพรา ใบโหระพา เมื่อเดือดทั่วยกลงเสิร์ฟ



ที่มา:naichef

ส่วนผสม
เนื้อปลาหั่นเป็นชิ้นพอคำ 1 1/2 ถ้วย
ต้นกระเทียมหั่นบาง 1 ถ้วย
พริกหวานสีแดง หั่นเป็นชิ้นใหญ่ 1/2 ลูก
แป้งสาลีสำหรับชุบปลาทอด 1/2 ถ้วย
กระเทียบบุบสับหยาบ 2-3 กลีบ
ซอสพริกไทยดำเต้าซี่ ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย
น้ำมันสำหรับผัดและทอดปลา



วิธีทำ

1. เนื้อปลาตบแป้งบางๆ แล้ทอดพอสุก พักไว้

2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวพอหอม ใส่ซอสพริกไทยดำเต้าซี่ผัดพอหอม ใส่เนื้อปลาลงผัดสักครู่ เติมน้ำร้อนเล็กน้อย แล้วจึงใส่ต้นกระเทียม พริกหวาน ใส่ซีอิ๊ว ผัดจนสุก ตักขั้นรับประทานร้อนๆ




ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร Health & Cuisine
จาม (Sneeze) คือ การหายใจออกอย่างรุนแรงฉับพลันและมีเสียงผ่านทางปากและจมูก ซึ่งมักจะเป็นกิริยาสนองฉับพลัน

จมูกเป็นเส้นทางหลักของอากาศที่เราสูดเข้าและออก เนื่องจากตำแหน่งของมัน จมูกจึงมีหน้าที่หลายอย่าง ช่องทางที่มีลักษณะแคบทำให้ลมที่หายใจไหลมีความปั่นป่วนมากขึ้น ความปั่นป่วนนี้จะเพิ่มปฏิกิริยาระหว่างกระแสลมและเมือกในจมูก ทำให้ความร้อนและความชื้นเกิดการแลกเปลี่ยนขึ้น และอณุภาคก็จะถูกกำจัดออกไปด้วย

การจามเป็นการตอบสนองทางสรีรศาสตร์ต่อการระเคืองของเนื้อเยื่อบุทางเดินหายใจที่อยู่ในจมูก กระบวนดังกล่าวจะเริ่มจากการปล่อยสารเคมีเช่น ฮิสตามีน (histamine) หรือลิวโคไทรอีน (leukotrienes) สารเคมีเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากเซลล์ที่ระคายเคือง) เช่น อีโอไซโนฟิล (eosinophils) และเซลล์มาสต์ (mast cells) ซึ่งมักจะพบภายในเมือกบุโพรงจมูก การปล่อยสารออกมานั้นเป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ อณุภาคที่กรองไว้ สารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ (allergens) หรือการระคายเคืองทางกายภาพเช่น ควันบุหรี่ มลพิษ น้ำหอม และอากาศเย็น การเกิดภูมิแพ้กับเมือกบุโพรงจมูกต้องใช้แอนติบอดี IgE (immunoglobulin E มีความเจาะจงกับสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้) จึงทำให้ของเหลวออกมาจากเส้นเลือดภายในจมูกทำให้เกิดอาการคัดจมูก (congestion) และน้ำมูกไหล (nasal drip) ด้วยเหตุนี้เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นทำให้เกิดอาการระคายเคือง

ในที่สุด การกระตุ้นจากเส้นประสาททำให้เกิดการตอบสนองภายในสมอง สัญญาณประสาทจะเดินทางไปที่เส้นประสาทรับความรู้สึกและควบคุมกล้ามเนื้อที่หัวและคอ

ทำให้เกิดการขับลมออกมาฉับพลัน ความเร็วของลมที่ปล่อยออกมาเกิดมาจากการสร้างความดันภายในหน้าอกโดยเส้นเสียง (vocal chords) จะถูกปิด เมื่อเส้นเสียงเปิออกอย่างรวดเร็วจะทำให้ลมที่ความดันไหลกลับไปที่ทางเดินหายใจเพื่อไล่สารที่ทำให้ระคายเคืองออกไป กระบวนการดังกล่าวช่วยกำจัดอณุภาคที่ระคายเคืองภายในจมูก อย่างไรก็ตาม ในคนที่ติดเชื้อ การจามจะเป็นการแพร่โรคหวัด โดยเชื่อไวรัสจะอยู่ในหยดเมือกที่ออกมา

การรักษาหลายๆ แบบจะช่วยควบคุมปฏิกิริยานี้ ยา antihistamine ทำงานโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของฮิสตามีนที่หน่วยรับความรู้สึกที่อยู่บริเวณเส้นเลือดในจมูก ยาลดน้ำมูก ( Decongestant) จะกระตุ้นหน่วยรับความรู้สึกที่อยู่บนเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดหดตัว เพื่อลดอาการคัดจมูก ยาสเตียรอยด์บางตัวจะใช้กับคนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้เพื่อลดจำนวนเซลล์ที่ระคายเคืองทำให้ยับยั้งการปล่อยฮิสตามีนออกมา

ครอบครัวชาวอัฟริกา ครอบครัวนี้ เลี้ยงสัตว์ไว้ แต่มันคืออะไรละ? ช่วยบอกหน่อย

เครื่องปรุงที่ใช้มีดังนี้:

ปูทะเลเป็นตัวเขื่องๆ 1 ตัวน้ำหนักประมาณ 8 ขีด- 1 ก.ก.(จะเป็นปูเนื้อหรือปูไข่ก็ได้) ต้นหอมใช้ช่วงเขียว-ขาว น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว1/2 ถ้วย น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ ผงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ ไข่เป็ด 2 ฟอง นมระเหยจืด 1/2 ถ้วย น้ำมันน้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีเตรียม: หงายปูเฉาะอกปูเป็นสองซีก แกะกระดองปูแยกออก สับปูเป็นชิ้นๆด้วยมีดปังตอคมกริบ แล้วนำไปนึ่งด้วยน้ำเดือดจัดประมาณ 10 นาที
นำเครื่องปรุงทั้งหมด(ยกเว้นต้นหอม) มากวนให้เข้าด้วยกันในอ่างแก้ว

วิธีปรุง: นำกระทะเหล็กตั้งไฟแรงจนร้อนจัด ใส่น้ำมัน1/2ถ้วยลงในกระทะกรอกให้ทั่วแล้วเทออก จากนั้นนำต้นหอมลงผัดจนได้กลิ่นหอม ใส่ชิ้นปูที่นึ่งสุกแล้วตามลงไปพร้อมกับผัดคั่วจนปูสุกหอมทั่วกัน ใส่น้ำปรุงรสที่เตรียมไว้ลงไปผัดคลุกจนทั่ว ตลบกลับชิ้นปูบ่อยๆจนน้ำปรุงรสเริ่มงวดข้นแล้วยกลง จัดใส่จานให้ดูน่ารับประทานโดยวางกระดองปูไว้ตรงกลางพร้อมรับประทาน

TIPS: เวลาเลือกปูต้องใช้ปูเป็น ๆ เท่านั้น ปูที่มาจากฝั่งอ่าวไทยกระดองจะขาวกว่าและเนื้อหวานแน่นดี ปูที่สดเนื้อจะแน่นกดตรงอกต้องแข็ง หากเป็นปูตัวเมียกดตรงกลางอกแล้วยุบเป็นปูโพรกไม่ควรใช้ และควรนำปูไปนึ่งให้สุกกอ่นที่จะนำไปผัด อย่านำไปต้มเพราะเนื้อจะไม่อร่อยเท่าที่ควร




ข้อมูลจากfood-legend-recipe

ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เกียจมากที่สุดจนผองเพื่อนสุดจะระอา
สมชายเพิ่งย้ายมาใหม่ไม่รู้เรื่องนี้

วันหนึ่งสมชายไปเที่ยวบ้านเพื่อนจอมขี้เกียจพบว่าบ้านรกมาก
ทุกอย่างไม่มีการเก็บมานาน

สมชายจึงถามจอมขี้เกียจว่า
" ทำไมนายไม่แต่งงานซะล่ะ
จะได้มีเพื่อนอยู่และช่วยกันทำความสะอาดบ้านให้ดูดีกว่านี้ "

คำตอบที่ได้รับคือ "ข้าขี้เกียจว่ะ"

สมชายเลยอาสาว่า
" เออ!ข้ามีเพื่อนผู้หญิงเยอะเลย จะแนะนำให้เอ็งได้รู้จักสักคน ดีไหมล่ะ"

คำตอบก็เหมือนเดิมคือ
"ข้าขี้เกียจว่ะ"

สมชายก็ยังยืนยันเจตนาเดิมว่า
" เหอะน่าข้าจะเลือกคนดีๆ ให้เอ็งไม่ต้องจีบก็ได้ว่ะ"

คราวนี้จอมขี้เกียจ ตอบด้วยเสียงงัวเงียว่า
" เออ! เอาคนที่ท้องแล้วนะ ข้าขี้เกียจว่ะ"
ที่บ้านคุณนาย หลังจากคนสวนลาออกไป
ก็ไม่มีใครดูแลสวนหย่อม

คุณนาย :
นี่นางแจ๋วไปช่วยดูแลต้นไม้พลางๆก่อนซิ

นางแจ๋ว :
ค่ะคุณนาย ไว้วันหลังดีกว่า

คุณนาย :
แกว่างไม่ใช่เหรอ ไปรดน้ำต้นไม้หน่อยไป๊!

นางแจ๋ว :
แต่ว่า คุณนายค่ะ ตอนนี้ฝนตกอยู่นะค่ะ

คุณนาย :
แกนี่โง่จริงๆ เชียว ถ้าแกกลัวเปียก ก็กางร่มไปรดซิย๊ะ

สี่หนุ่มก๊วนกอล์ฟวันอาทิตย์คุยกันถึงเทคนิคการขอเมียมาตีกอล์ฟ

คนแรกเผยเคล็ดลับ "ทุกเย็นวันเสาร์อั๊วจะพาเมียไปหาที่บรรยากาศดีๆดินเนอร์กันว่ะ"

คนที่สองบอก
"ของอั๊วประหยัดกว่าแต่เหนื่อยว่ะ อั๊วช่วยเมียทำสวนทุกวันเสาร์เลย"

"ของอั๊วขี้เกียจเหนื่อยว่ะ" คนที่สามว่า
"อั๊วบอกเค้าให้ไปช็อปปิ้งตามสบาย อั๊วจ่ายเอง"

"พวกลื้อนี่มันไก่อ่อนจริงๆ" คนสุดท้ายส่ายหน้า
"ทุกเช้าวันอาทิตย์อั๊วปลุกเมียขึ้นมาถามง่ายๆ กอล์ฟหรือกุ๊กกิ๊กดี?
อั๊วได้มาเล่นทุกอาทิตย์เลยว่ะ!!!"

เดี๋ยวนี้สบู่เหลวได้รับความนิยมยิ่งขึ้นด้วยเหตุผลของความสะดวกสบายเป็นสำคัญแต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ!สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25 %แล้วที่เหลือเป็นน้ำแต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย


เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจนผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอกหรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลวคงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที


แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนังอวัยวะภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำSLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟตเป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่(คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดูจะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล)และเป็นสารเคมีอันตรายหลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฏหมายห้ามใช้แล้วและบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลงแต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายและรวดเร็วสามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับและก่อปัญหาในระยะยาวหากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีนก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว(ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ)แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า(ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น)แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด






ขอบคุณข้อมูล : สมุนไพรดอทคอม

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมากในหนังสือ 'ขอบคุณสรรพสิ่ง'

'ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ

แต่ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว'

ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง 'ธรรมดา'

เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ... เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความธรรมดานี้หมดไปล่ะ?

เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ 'ไม่ธรรมดา' ไปในทันที

และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมา คิดเสียดายความ 'ธรรมดา' จนใจแทบจะขาด...

ให้เรารีบชื่นชมกับความ 'ธรรมดา' ที่เรามี

และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล

เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว










จากธรรมะคิดดอทคอม

ถ้าพูดถึง ของขวัญ เรามักนึกถึงสิ่งของที่เรามอบให้กันในวันสำคัญต่าง ๆ แต่อันที่จริงแล้ว ยังมีของขวัญที่เราสามารถมอบให้กันได้ทุกวัน โดยไม่เสียเงินเลย

ของขวัญล้ำค่าเหล่านี้ ไม่ต้องรอมอบให้กันในช่วงเทศกาล เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ตลอดปี และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แก่ผู้ใดแล้ว ผลที่ได้รับมีคุณค่ามากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องลงทุนซักแดงเดียว เรามาลองดูรายละเอียดของกิฟต์เซ็ต ชุดนี้กันดีกว่า


ของขวัญจากการฟัง : จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอผู้อื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก

ของขวัญจากภาษากาย : อย่าอายที่จะแสดงความรักต่อครอบครัวหรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ, โอบไหล่, สวมกอด, หอมแก้ม ฯลฯ

ของขวัญจากความเบิกบาน : แบ่งปันเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน ให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุกอย่าแอบหัวเราะคนเดียว

ของขวัญจากการเขียน : กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น ?ฉันรักคุณจังเลย? ... ?ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ? ... จะสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้แก่คนอ่านได้ไม่น้อย

ของขวัญจากคำชม : ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากได้รับคำชม เช่น ?ผมทรงนี้ดูดีจัง? ?กับข้าวอร่อยมากเลยนะ? ?ผอมลงรึเปล่า ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ? แต่อย่าชมจนเว่อร์ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นคนไม่จริงใจ

ของขวัญจากความมีน้ำใจ : ความจริงคนเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการ ?หลับใน? การแบ่งปันให้กันจะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้นนะ

ของขวัญจากเวลาส่วนตัว : บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิ์ผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเมื่อเขาต้องการ


ของขวัญจาการให้กำลังใจ : คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ?ใจเย็น ๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้? ? ยากกว่านี้เธอยังทำได้เลย? สักวันรถของคุณเองก็อาจขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้

ของขวัญจาก มธุรสวาจา : คำพูดดี ๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ?ขอบคุณ? ?ขอโทษ? ?ไม่เป็นไร? เพราะคุณเองก็คงอยากฟังคำพูดดี ๆ จากคนอื่นบ้างเหมือนกัน

เห็นไหมว่า เรามีของขวัญมากมายอยู่กับตัวที่สามารถหยิบยื่นให้แก่กัน ได้ทุกที่ทุกเวลา ลองมอบให้คนข้าง ๆ ซักคนละชิ้น สองชิ้น เริ่มต้นจาก การยิ้มให้กันก่อน ยิ้ม เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพและเรื่องราวดี ๆ อีกมากมาย







จากsiamsouth

ส่วนผสม
ถั่วเขียวเลาะเปลือก 150 กรัม
น้ำ (สำหรับต้มถั่วเขียว) 3 ถ้วยตวง
มะพร้าวขูด 300 กรัม
(คั้นให้ได้กะทิ 1 1/2 ถ้วยตวง)
น้าตาลทราย 1 ถ้วยตวง

ส่วนผสมเคลือบลูกชุบ
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
สีผสมอาหาร
ไม้จิ้มฟัน
โฟมสำหรับวางขนม

วิธีทำ
1. ล้างถั่วเขียวเลาะเปลือกให้สะอาด แช่น้ำอย่างน้อยประมาณ 3 ชั่วโมง
2. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกและน้ำใส่ภาชนะ ไม่ปิดฝาภาชนะ นำเข้าเตาไมโครเวฟใช้เวลาประมาณ 40 นาที ระดับความร้อน HIGH พอสุกนำถั่วเขียวออกมาผ่านกระชอนให้ละเอียด
3. นำถั่วเขียวทียีแล้ว กะทิ และน้ำตาลทรายใส่ภาชนะคนให้เข้ากัน ไม่ปิดฝาภาชนะ นำเข้าเตาไมโครเวฟใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที ระดับความร้อน HIGH (เปิดคนทุกๆ 10 นาที) กวนจนถั่วเขียวจับตัวเป็นก้อน
4. นำถั่วเขียวที่กวนได้ทีแล้ว นำมาปั้นเป็นผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น มังคุด มะละกอ แตงโม มะม่วง ส้ม ตามชอบ เสียบด้วยไม้จิ้มฟัน ทาสีผสมอาหารให้สวยงาม ปักไว้บนโฟมที่เตรียมไว้ พักไว้ให้สีผสมอาหารแห้ง
5. ผสมวุ้นผง น้ำตาลทราย และน้ำคนให้เข้ากัน ไม่ผิดฝาภาชนะ นำเข้าเตามโครเวฟใช้เวลาประมาณ 10 นาที ระดับความร้อน HIGH(เปิดคนทุกๆ 3 นาที) หมดเวลา นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง
6. นำส่วนผสมที่พักไว้ลงชุบวุ้น ประมาณ 2-3 ครั้ง จนขึ้นเงา พักไว้ให้แห้ง ดึงไม้ออก แต่งก้านและใบให้ดูสวยงาม

ภาพนี้มีจุดที่ผิดอยู่ 28 จุด ลองหาดูสิ



ไอ้หนุ่มคนหนึ่งชอบหมา แต่แฟนเขาไม่ชอบ ไอ้หนุ่มจึงเลิกเลี้ยงหมาไป จนเมื่อเขาแต่งง นกันได้สักพัก ไอ้หนุ่มก็เริ่มทำตามใจตัวเองบ้าง เขาคุยกับเมียเรื่องเอาหมามาเลี้ยง

"แล้วเราจะเลี้ยงมันยังไงคะนี่ ชั้นไม่มีเวลาหาอาหารให้มันหรอกนะ"
เมียตั้งแง่

"ไม่ต้องห่วง" ไอ้หนุ่มยืนยัน
"ผมซื้ออาหารหมามาเลี้ยงมันเอง"

"แล้วบ้านเราเป็นทาวน์เฮาส์อย่างนี้ จะให้มันไปฉี่ไปอึที่ไหนล่ะ"
เมียยังข้องใจ

"เดี๋ยวผมฝึกให้มันเข้าห้องน้ำเอง หมาผมทุกตัวทำได้ทั้งนั้นแหละ"
ไอ้หนุ่มว่า

"แล้วตอนนอนล่ะ จะทำไงนี่" เมียเรื่องมากจริงๆ

"นอนบนเตียงกับเราสิ หมาผมทุกตัวผมเอามานอนด้วยทั้งนั้นแหละ"
ไอ้หนุ่มยืนยัน

"ว้าย... ไม่ไหวหรอก เหม็นจะแย่" เมียจมูกย่น

"ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็ชินไปเอง" ไอ้หนุ่มพูดหน้าตาเฉย
"ตอนผมแต่งงานมาใหม่ๆ ผมก็เหม็นเหมือนกัน แต่สักพักก็ชินไปเอง"

เจ้านายดิชั้นสั่งให้ซื้อเครื่องทำลายเอกสารมาใช้ในออฟฟิศ
"ราคาไม่เกี่ยง ขอให้เป็นของดี มีประกันนานๆก็แล้วกัน" ท่านว่า
"ยี่ห้อนี้ดีไหมคะ" ดิชั้นเอาโบรชัวร์ไปให้ท่านดู "ของเยอรมันค่ะ ราคาแพงหน่อย แต่เขารับประกันตลอดอายุการใช้งานเลยนะคะ"
ท่านอนุมัติทันที

สัปดาห์ต่อมา เมื่อเครื่องทำลายเอกสารเครื่องใหม่มาถึง ท่านมาด้อมๆมองๆและยืนยันจะทดลองเครื่องทำลายเอกสารเครื่องใหม่ด้วยตัวท่านเอง

"บอสยังไม่อ่านคู่มือเลยนะคะ เดี๋ยวเครื่องก็เสียหรอก" ดิชั้นท้วง
"เสียแล้วจะเป็นอะไรไป" ท่านว่า "ประกันตลอดชีพอยู่แล้ว"
ท่านหยิบกระดาษข้างตัวขึ้นมาปึกหนึ่ง ใส่ลงไปในเครื่องทำลายเอกสารแล้วกดปุ่ม

เครื่องดูดเอกสารเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วสะดุด เจ้านายดิชั้นก็เลยกดปุ่มอีกครั้ง กระดาษขยับเข้าไปนิดหน่อย ท่านก็แล้วกดแช่ย้ำๆอยู่ตรงนั้นในขณะที่กระดาษปึกนั้นค่อยๆเลื่อนเข้าไปทีละนิดๆจนหมดพร้อมกับกลิ่นไหม้ที่ตามมา

"เป็นอะไรของมันวะ" ท่านบ่นอย่างหงุดหงิด
"หนูบอกแล้วว่าบอสน่าจะอ่านคู่มือก่อน" ดิชั้นว่า
"เจ๊งก็เจ๊งสิ" ท่านฟิวส์ขาด "ส่งซ่อมแล้วกัน ประกันก็มี"
"จะส่งซ่อมยังไงล่ะคะ" ดิชั้นหน้าหงิก
"บอสเอาใบประกันเข้าไปย่อยหมดแล้ว..."
คุณพ่อกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ที่บ้าน ในขณะที่ ลูกสาววัยหกขวบจอมซนก็กำลังเล่นอยู่ข้างหลัง สักครู่ อยู่ดีๆ เธอก็หันหลังกระโดดวิ่งเข้าไปในครัว พร้อมทั้งร้องเสียงแหลมปรี๊ด ด้วยความดีใจ

ลูกสาว : " หนูรู้รหัสผ่านของคุณพ่อแล้ว หนูรู้รหัสผ่านของคุณพ่อแล้ว เย ! "
คุณแม่ : แล้วมันคืออะไรล่ะ ?
ลูกสาว : " ดอกจัน ดอกจัน ดอกจัน ดอกจัน ดอกจัน "
คุณแม่ : ?!?!?!

วันหนึ่งช่างจัดดอกไม้ เข้าไปตัดผมที่ร้าน หลังจากตัดผมเสร็จก็เตรียมตัวจะจ่ายเงิน ช่างตัดผมบอกว่า

" เอ่อ ผมรับเงินของคุณไม่ได้ดอกครับ เพราะผมอาสาทำงานเพื่อชุมชน " ช่างจัดดอกไม้ยิ้มแล้วก็กลับไป วันจันทร์ต่อมา เมื่อช่างตัดผมเปิดร้านก็พบว่า มีการ์ดขอบคุณกับดอกไม้ 12 ช่อ วางอยู่ที่หน้าร้าน

วันต่อมา มีตำรวจคนหนึ่ง เข้ามาตัดผมที่ร้านอีก หลังจากตัดผมเสร็จ ตำรวจจะจ่ายเงิน ช่างตัดผมก็บอกกับตำรวจเช่นกันว่า

" เอ่อ ผมคงรับเงินของคุณไม่ได้ดอกครับ เพราะผมอาสาทำงานนี้เพื่อชุมชน " ตำรวจยิ้มแล้วก็กลับไป

วันจันทร์ถัดมา เมื่อช่างตัดผมเปิดร้าน ก็พบว่ามีการ์ดขอบคุณพร้อมกับขนมโดนัท 12 ชิ้น ใส่กล่องวางอยู่ที่หน้าร้าน

วันต่อมา คุณสุดยอดเห็นแก่ตัว ได้มาตัดผมที่ร้านของเขาเช่นกัน แล้วก็เหมือนเดิม ช่างตัดผมก็ยังยืนยันไม่รับเงินเหมือนเดิม ก็กลับไป เช่นกัน วันจันทร์ถัดมา เมื่อช่างตัดผมเปิดร้าน สิ่งที่ช่างตัดผมพบคือ " ครอบครัวและญาติ ๆ คุณสุดยอดเห็นแก่ตัว 12 คน มายืนรอตัดผมฟรีอยู่หน้าร้า
หลายต่อหลายท่าน คงจะทราบกันดีว่าทุกวันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกๆปี คือวันฮาโลวีน

ซึ่งภาพที่เราได้พบเห็นในวันนั้นคือ การเห็นฝรั่งมังคาแต่ตัวเป็นภูตผีปีศาจ เดินตามถนน ซึ่งเราอาจเข้าใจในความหมายของพฤติกรรมนี้ว่า เป็นวันปล่อยผี แต่อีกมุมหนึ่งในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกนั้น วันที่ 1 พฤศจิกายน ถือเป็น หนึ่งใน 14 วันสำคัญ คือ วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints'Day) เนื่องจาก ในช่วงศตวรรษที่ 9 พระศาสนจักรได้กำหนดให้ วันที่ 1พฤศจิกายน เป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลายและเป็นการรอคอยความรอดด้วย ซึ่งจะเป็นการระลึกถึงคุณธรรมของเหล่าบรรดานักบุญต่าง ๆ โ

ดยเฉพาะอย่างยิ่งการฉลอง "นักบุญอุปถัมภ์" ของแต่ละพระศาสนจักร และนักบุญประจำตัวของคริสตสานิกชน และในวันถัดมาคือวันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวันภาวนาอุทิศแก่บรรดาญาติ พี่น้อง ผู้ล่วงลับ โดยก็จะประกอบพิธีมิสซา อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศล ให้แก่ผู้ล่วงลับเหล่านั้นและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งมุมมองของวันฮาโลวีน ที่หลายท่านอาจจะยังไม่ได้ทราบ
ตั้งสมาธิ สาเหตุ หนึ่งที่ทำให้หลงลืมบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ หรือมีสารพัดเรื่องเข้ามาแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มีอะไรมากวนสมาธิบ่อยนัก จัดเวลาช่วงหนึ่งงดรับโทรศัพท์และติดป้ายห้ามรบกวนไว้ที่โต๊ะ หาเวลานั่งเงียบๆ หลับตา หายใจเข้าช้าๆ เพื่อให้เกิดความสงบ


จดโน้ต ถ้าทำงานที่มีความซับซ้อนหรือมีหลายงาน ควรรีบโน้ตสั้นๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ส่วนที่ชอบลืมแล้วลืมอีกควรจดโน๊ตต่างๆ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกที


ใส่ใจ การ ที่คนเราลืมอะไรบ่อยๆ อาจะเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถ้าใครพูดอะไรด้วยแล้วลืม หรือจำชื่อคนไม่ค่อยได้ ลองหันมาสนใจตั้งใจฟังสักนิด ก็จะช่วยให้จำได้ดีขึ้น


ท่องจำ การท่องเป็นวิธีช่วยจำที่ตรงไปตรงมาที่สุด เด็กนักเรียนจำคำศัพท์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เพราะท่องจำเนี่ยแหละ ถ้าหมั่นท่องสิ่งที่ต้องทำบ่อยๆ ได้จากการฟัง ได้ดีขึ้น


พูดออกเสียง เคยสังเกตไหมว่าเราสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้จากการฟัง การพูด ออกมาทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้จำง่ายขึ้น


พูดคุยหรือเล่าให้คนอื่นฟัง ก็เป็นการช่วยจำทางหนึ่ง และการเล่าให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ตัวเราเองต้องเข้าใจเรื่องนั้นอย่างดีและจำได้ดี ถ้าอยากจำเรื่องที่ประชุม สัมมนา หรืออบรมได้ดีขึ้นลองพูดคุยหรือเล่าให้เพื่อนฟัง


ทำ mind mapping ถ้า จะทำโครงการต่างๆ ลองเริ่มจากการเขียนแผนผังใส่หัวข้อต่างๆ ลงไป มีหัวข้อหลักและรายละเอียดด้วยก็จะทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดและช่วยจำได้ ที่สำคัญนอนหลับให้พอ ถ้านอนเต็มอิ่มก็จะช่วยให้จำดีขึ้น







ขอบคุณสกิดดอทคอม

หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปหาชายแก่ที่นั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน

หญิงสาว -"ขอโทษนะคะคุณลุงคือดิฉันเผอิญสังเกตเห็นว่าคุณลุงดูมีความสุขจังไม่ทราบว่ามีเคล็ดลับสำหรับชีวิตที่ยืนยาวและแสนสุขมั๊ยคะ"

ชายแก่ - "ผมสูบุหรี่วันละ 3 ซองดื่มเบียร์วันละลัง กินอาหารมันๆ และไม่เค้ยไม่เคยออกกำลังกายเลย"

หญิงสาว - "ว๊าว!!! ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ คุณลุงอายุเท่าไหร่คะเนี่ย?"

ชายแก่ - " 26...."





ขอบคุณข้อมูล : src.ku

รวมสาวสวยมากมาย

ข้อมูลนก

ปลาสวยงาม-ตู้ปลาสวยงาม-ข้อมูลปลาทะเล

อาหารสมอง-วาไรตี้

เรื่องขำขัน

สูตรอาหาร-อาหารน่ากิน-ขนมหวานน่าอร่อย

ภาพปริศนา