google search

Google

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่เลย

clock

ปฏิทิน

Blog Archive

เทคโนโลยีทันสมัย

ภาพถ่ายนักเรียนน่ารักๆ-วัยรุ่น-นักศึกษา-นางแบบ-ดารา

สาวสวยเซ็กซี่-สาวน่ารัก

วิทยาศาสตร์

รูปแปลก-ภาพแปลก-ภาพขำขำ

เรื่องน่ารู้ทั่วไป

สัตว์บก-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ -สัตว์น้ำ -สัตว์ปีก -สัตว์เลื้อยคลาน -สัตว์ในวรรณคดี

BlogRoll

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน

จระเข้ประหลาดในยุคครีเตรเซียส

Miami : สวรรค์...หรือดินแดนอาชญากรรม

ไขปริศนาปลาพญานาค

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ

การกลับมาของ "อเล็กเซย์" เมื่อราชวงศ์โรมานอฟได้คืนชีพ ?!

ปลาหมึกยักษ์ อสูรร้ายใต้สมุทร

แกะปมปริศนาลำแสงมรณะของอาร์คิมิดีส

ความเชื่อในสิ่งลึกลับ : หมอผีวูดู

นอสตราดามุส ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

ตำนานแม่มดแห่งเมือง Blair

flag

free counters

เรียวมะ ซาคาโมโต : บุรุษทรนง

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

ตำนานมนุษย์หมาป่า

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

การกลับมาของโรคระบาด

ตามหา"ไอ้ตีนโต" มนุษย์วานรดึกดำบรรพ์

มหันตภัยธรรมชาติในอนาคต

มังกรมีจริงหรือเพียงแค่ตำนาน ?

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

ปริศนารูปถ่ายของยูนิคอร์น

ภาพถ่ายวิญญาณจากต่างแดน

ภาพถ่ายวิญญาณ (ภาค2)

ภาพถ่ายศพนางเงือก

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพถ่ายวิญญาณ

เรื่องสยองที่ abac

ภาพถ่ายวิญญาณของไทย

ผีในการท่องเที่ยว

ซุปเด็กสุดสยอง

สิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ของโลก

ตัวอะไรเนี่ย

photo หน้า...น่าเกลียด

15 โรงแรมแปลก แหวกแนวสุดยอด

''โคลอสเซียม'' : สังเวียนแห่งความตาย

1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่

เปิดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ

อาถรรพณ์ปูโสม : วิญญาณเฝ้าทรัพย์

นักเล่านิทานบันลือโลก

มัมมี่แห่งศตวรรษที่ 21

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเหตุใด ?

ผู้ติดตาม

friend

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553
หมาป่ากำลังมาชุมนุมกัน ลองนับดูหน่อยไหม ว่ามีกี่ตัวกันนะ
เขาบอกว่า ภาพด้านลางนี้มีใบหน้าคนซ่อนอยู่ ช่วยกันหาหน่อยซิ ว่าอยู่ตรงไหน
ด้านล่างนี้เป็นภาพของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับใครกัน ????




วิธีการดู
1.ถอยออกไปจากจอคอมพิวเตอร์
2. บันทึกภาพลงเครื่อง แล้วใช้โปรแกรมดูภาพเช่น ACDSee ย่อภาพ

ด้านล่างนี้เป็นภาพของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับใครกัน ????





วิธีการดู
1.ถอยออกไปจากจอคอมพิวเตอร์
2. บันทึกภาพลงเครื่อง แล้วใช้โปรแกรมดูภาพเช่น ACDSee ย่อภาพ
คุณเชื่อไหมว่า.... ในภาพมีทหาร กำลังพรางตัว ได้อย่างแนบเนียน กับสิ่งรอบตัว คุณลองมองหาทหารคนนั้นดู ว่าเขาอยู่ตรงไหน ........หากคุณยังมองไม่เห็น ลองทำอะไรบางอย่างกับภาพ มองภาพในหลายๆมุม แล้วคุณจะมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น


ชายชราคนหนึ่งเกิดมีความสงสัยว่า
ภรรยาของเขานั้นหูตึงหรือไม่

ดังนั้น คืนวันหนึ่ง เขาก็ลองทดสอบดู
โดยการแอบเข้าไปยืนอยู่ห่างๆ ข้างหลังเธอ
ขณะที่เธอนั้นนั่งสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้



ชายชราถามเธอเบาๆ :: "ที่รัก เธอได้ยินฉันมั้ยจ๊ะ?"
เขาไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ



ชายชราขยับเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วถามอีกครั้ง :: "ที่รัก เธอได้ยินฉันมั้ยจ๊ะ?"
เขาก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ



ชายชราก็เลยขยับเข้าประชิด แล้วถามอีกครั้ง :: "ที่รัก เธอได้ยินฉันมั้ยจ๊ะ?"

ภรรยา :: "ฉันตอบเป็นครั้งที่สามว่า "ได้ยินจ้า" "
บุญเขตเข้าไปซื้อกับข้าวที่ห้างโลตัส
หลังจากชำระเงินแล้วเขาต้องหิ้วข้าวของพะรุงพะรังไปยังรถยนต์ที ่จอด
อยู่ลานจอดรถ ขณะที่เดินผ่านช่องแคบๆระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่
บังเอิญถุงข้าวของไปสะกิดถูกด้านข้าง
ของรถคันหนึ่งซึ่งมีชายหนุ่มและหญิงสาวกำลังนั่งจู๋จี๋กันอยู่พอดี
ชายหนุ่มอยากโชว์ออฟให้แฟนสาวได้เห็น
จึงเปิดประตูรถลงมาดูร่องรอย



บุญเขต : ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้ถุงข้าวของไปโดนรถคุณ อย่างไรก็ตามผมไม่เห็นมีอะไรเสียหาย

ชายหนุ่ม : ไม่เสียหายให้เห็นก็จริง แต่มันเสียความรู้สึก

บุญเขต : ก็ผมขอโทษแล้วไง

ชายหนุ่ม : ขอโทษไม่พอหรอก

บุญเขต : งั้นถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นได้แล้วละก็ ผมให้คุณไปเตะรถผมคืนก็แล้วกัน นั่นรถผม !

บุญเขตพาชายหนุ่มเดินไปที่รถปิ๊กอัพคันหนึ่งที่จอดอยู่ในล็อกถัดไป ชายหนุ่มจัดการเตะรถปิ๊กอัพด้วยความเมามัน

สักครู่ต่อมา มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม

หนุ่มใหญ่ : คุณมาเตะรถผมทำไม ?

ชายหนุ่ม : อ้าว รถคุณเหรอ เมื่อสักครู่ผู้ชายคนนี้......

พอเขาหันไปหาบุญเขต ปรากฏเขาไม่เห็นบุญเขตเสียแล้ว แต่เขาเห็นรถโตโยต้าเก่าๆคันหนึ่งซี่งเมื่อสักครู่จอดแถวนั้นขับออกไปอย่างรวดเร็ว
อันเนื่องมาจากโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค
ยายมาเป็นไข้หลายวันแล้วก็เลยไปโรงพยาบาล

พอไปถึงหน่วยคัดกรองฯ พยาบาลวัดความดัน
แล้วก็บอกยายมาว่า


พยาบาล: ยายถอดรองเท้าแล้วชั่งน้ำหนักเลยจ้ะ


ยายมาทำหน้างง ๆ แต่ก็เดินตรงไปที่เครื่องชั่ง
ถอดรองเท้าแล้วชั่งน้ำหนัก


พยาบาล: หนักเท่าไหร่จ๊ะยาย


ยายมา: สามขีดครึ่งจ้า...


พยาบาล: ? ? ?
ชายสองคนเป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่ชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ
ชนิดที่ว่า.. ไม่ไล่ ไม่เลิก

ครั้งนี้ก็เช่นกัน.. เขาทั้ง 2 นั่งดื่มที่ร้านขายสุรา นานนนนน..มาก
จนไม่รู้ว่า.. วัน คืนผ่านไป แล้วอย่างไร
เจ้าของร้านก็คงคาดคิดแล้วว่า..
ปล่อยให้นั่งต่อไป ก็คงขายไม่ได้เท่าไร
ขณะนั้นก็มีลูกค้าประมาณ ตาก่ำ หัวตก เหลืออยู่ 3-4 ราย
จึงเชิญให้กลับบ้าน..แล้วปิดร้านดีกว่า


ชายทั้ง 2 จำใจต้องออกจากร้าน แล้วมายืนอยู่หน้าร้าน
ชายคนแรกแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วพูดอย่างอ้อแอ้ว่า..


"อื้ออออออออ.. ค่ำแล้ว..วันนี้พระจันทร์ขึ้น สวยดีนะ"

ชายคนที่ 2 แย้งขึ้นอย่างคนลิ้นไก่สั้น..

"ครายยย..ว่าพระจันทร์..บ้ารึป่าววว.. นั่นพระอาทิตย์!"


"พระจันทร์.. กลางคืนจะมีพระอาทิตย์ได้งาย" ชายคนแรกเถียง

"ก็นี่มันกลางวัน.. จะมีพระจันทร์ได้ไง" ชายคนที่ 2 เถียงอย่างไม่ยอมแพ้

ทั้ง 2 คนก็เถียงกันไปเถียงกันมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
ตกลงต้องหาคนให้ช่วยมาตัดสิน..


ขณะนั้นมีชายอีกคนหนึ่งกำลังเดินโงนเงนออกจากร้านผ่านมาพอดี


ชายคนแรกจึงเรียกไว้.. พร้อมกับชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า และพูดขึ้นว่า..

"นี่ ๆ.. คุณ คูณณณณณณณณณณ..
คุณว่านั่นน่ะ มัน พระอาทิตย์ หรือพระจันทร์ หาาาาาาาาา? ? ?"


ชายคนที่เดินออกมาทีหลัง มองตามมือที่ชี้ แล้วก็ส่ายหัวโงนเงน

"ไม่รุ.. ผมก็ม่ายยยย..รู้.. ผมไม่ใช่คนแถวนี้"

บาทหลวงรูปหนึ่งรู้สึกผิดแทนชาวเมืองที่ชอบขโมยเงินสามีหรือภรรยา
แล้วมาสารภาพบาปทีหลังเป็นประจำจึงขอให้ทุกคนเรียกพฤติกรรมนี้เป็นรหัสลับว่า "หกล้ม" แทน หลังจากบาทหลวงรูปนี้เสียชีวิตไป บาทหลวงคนใหม่ที่มาประจำที่โบสถ์ก็ร้องเรียนกับเจ้าเมืองว่า


บาทหลวงใหม่ : พ่อขอเสนอให้ท่านปรับปรุงทางเท้าในเมืองเป็นการเร่งด่วนนะ

เจ้าเมือง : เอ๊ะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะครับหลวงพ่อ

บาทหลวงใหม่ : ก็พ่อมาอยู่ได้แต่อาทิตย์เดียว มีคนบอกว่า "หกล้ม" ตั้งไม่รู้กี่ราย

เจ้าเมือง : อ๋อ !! หลวงพ่อไม่ต้องกังวลครับ คนที่นี่ "หกล้ม" กันจนเป็นธรรมดาแล้วล่ะ

บาทหลวงใหม่ : ท่านไม่ห่วงชาวเมืองก็ห่วงภรรยาท่านบ้างเถอะ

เจ้าเมือง : ทำไมเหรอครับ

บาทหลวงใหม่ : ก็เฉพาะสัปดาห์นี้ภรรยาของท่าน "หกล้ม" ตั้ง 26 ครั้งแล้วน่ะสิ

เจ้าเมือง : ?????
เพื่อนสองคนพบกันที่ถนนสายหนึ่ง "มีอะไรหรือเปล่า เอก" "ฉันเจอเงิน 100 บาทสองใบบนรถเมล์" "แล้วไม่ดีใจเหรอ" "จริง ๆ แล้วมีคนอื่นเห็นเงินนั่นพร้อม ๆ กับฉันก็เลยต้องแบ่งกัน" "คนละ 100 บาทก็ไม่เลวนะ" "ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ พอถึงบ้าน ฉันถึงนึกได้ว่าฉันเป็นคนทำเงินหล่นบนรถเมล์ 200 บาท"

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอุปซาลา ประเทศสวีเดน เตือนว่า ชายวัยกลางคนซึ่งมีปัญหาโรคอ้วน น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์มาตรฐาน

ถึงแม้ระบบเผาผลาญอาหารยังทำงานได้ตามปกติ แต่ก็ยังเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเมื่อเทียบกับชายวัยเดียวกันที่มีน้ำหนักตัวสมส่วน ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการศึกษาข้อมูลผู้ชาย 1,758 คน ต่อเนื่อง 30 ปี กระทั่งพบว่า ชายน้ำหนักตัวเกินที่ไม่มีอาการของกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งอาการแทรกซ้อนต่างๆ มากกว่าชายน้ำหนักตัวปกติร้อยละ 52

ส่วนชายเป็นโรคอ้วนที่ไม่มีอาการของกลุ่มโรคดังกล่าวเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ขัดแย้งกับผลการศึกษาในอดีตที่ชี้ว่า คนอ้วนที่ไม่มีอาการของกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติถือว่าสุขภาพแข็งแรง

"ชายเป็นโรคอ้วนที่มีอาการของกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดเพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและเสียชีวิต 2.5 เท่าของชายน้ำหนักตัวปกติที่ไม่มีอาการของกลุ่มโรคนี้ ส่วนชายน้ำหนักตัวปกติที่มีอาการของกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่าคนไม่มีอาการร้อยละ 63 ดังนั้น ชายมีน้ำหนักตัวเกินจึงควรออกกำลังกายลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะมีอาการของกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติหรือไม่ก็ตาม" ผลวิจัย ระบุ

ทั้งนี้ อาการกลุ่มโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติ หมายถึง ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นเบาหวานและโรคหัวใจ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง อ้วนลงพุง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง และคอเลสเตอรอลเอชดีแอลต่ำ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด


1. ทำไมการนอนจึงสำคัญ

การนอนทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้ทำงานผิดพลาด ทำงานได้น้อยลง คุณภาพงานต่ำกว่าปกติ และมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอนมากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอนไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนระหว่าง 21. 00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะโกร๊ธ ฮอร์โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน

2. นอนหลับท่าไหนดีที่สุด


การนอนมีความสัมพันธ์กับกระดูกสันหลัง เพราะหากนอนผิดท่า เช่น นอนงอตัวหรือนอนบิดตัว ติดต่อกันหลายๆ ปี อาจทำให้กระดูกสันหลังเลื่อนออกนอกแนวระนาบ ผิดรูป หรือคดงอได้ ท่านอน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นอนหลับสนิท ตื่นนอนอย่างสดชื่นและไม่ปวดเมื่อย

- นอนหงาย ควรใช้หมอนหนุนหัวแบบต่ำเพื่อให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว ป้องกันการปวดคอจากนอนคอพับหรือนอนเงยคอมากเกินไป แต่ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก หัวใจทำงานลำบากขึ้น การนอนหงาย ยังอาจทำให้ผู้มีอาการปวดหลังมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย


- นอนตะแคง การนอนตะแคงขวาช่วยให้หัวใจทำงานสะดวก และอาหารที่ค้างในกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทางหนึ่ง แต่การนอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เสียดลิ้นปี่ เพราะอาหารย่อยไม่หมดและค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับกระดูกสันหลังและเส้นเลือดแดงใหญ่กลางลำตัว

- นอนคว่ำหน้า อาจทำให้หายใจติดขัดและปวดต้นคอ เพราะคอแอ่นมาทางด้านหลังหรือบิดไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานานๆ ถ้าต้องนอนคว่ำหน้าควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ



3. เลือกซื้อที่นอนอย่างไรดี
ที่นอนควรมีขนาดกลางๆ ไม่นิ่ม หรือแน่นเกินไป (แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างที่นอนนิ่ม กับที่นอนแน่น ควรเลือกที่นอนแน่น เพราะที่นอนนิ่มจะทำให้ปวดหลังได้มากกว่า) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสรีระของแต่ละบุคคล ถ้าคุณลองนอนดูแล้วไม่เกิดอาการปวดหลังก็ถือว่าใช้ได้ และควรเลือกที่นอนที่ยาวกว่าความสูงของตัวเองอย่างน้อย 15 ซม. และพิจารณาสิ่งสำคัญต่อไปนี้ด้วย



- ความแน่นของที่นอน (Firmmess) ขึ้นอยู่กับความชอบและรูปร่างของผู้นอน เช่น คนที่รูปร่างใหญ่ จะเหมาะกับที่นอนแน่นเป็นพิเศษ



- ชั้นโอบรับ (Conformity) คือมีส่วนที่สัมผัสและโอบรับกับร่างกายอย่างเหมาะสม เข้ากับส่วนโค้งเว้าได้ดี จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและนอนหลับสบายขึ้น



- ความแข็งของที่นอน (Edge Support) คือ ความสามารถในการรับน้ำหนัก โดยเฉพาะช่วงขอบของที่นอน ป้องกันการยุบตัว และไม่เกิดการลื่นไหลเวลานั่งขณะขึ้นหรือลงจากที่นอน



เมื่อใช้ที่นอนนานเกิน 6 เดือน ควรกลับที่นอนอีกด้านหนึ่งขึ้นมาใช้ เพื่อไม่ให้ที่นอนถูกใช้งานเพียงด้านเดียว เพราะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพเร็ว และควรกลับด้านหัวนอนและปลายเท้าสลับกันด้วย เพื่อใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งสี่ด้าน



4. หมอนแบบไหนดีที่สุด
การหนุนหมอนที่ไม่มีคุณภาพนานๆ อาจทำให้กระดูกต้นคอ กดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หรือเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หากลิ่มเลือดขึ้นสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ คุณจึงควรสังเกตอยู่เสมอว่ามีอาการปวดช่วงต้นคอหลังจากตื่นนอนด้วยหรือไม่ หมอนที่ดีควรนอนแล้วรับกับกระดูกต้นคอได้พอดี เสมอเป็นระนาบเดียวกับลำตัว นอนแล้วคอไม่แหงนหรือพับ วัสดุที่ใช้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน


- ใยสังเคราะห์ มีทั้งแบบนุ่มฟูและแน่นขึ้นอยู่กับความชอบ ข้อดีคือมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามรูปศีรษะ คืนรูปและระบายอากาศได้ดี ข้อจำกัด คือ เสื่อมสภาพเร็ว อายุใช้งานไม่คงทน



- โฟมลาเทกซ์ แข็งและแน่นมากกว่าหมอนประเภทอื่นๆ ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี หากเลือกขนาดไม่เหมาะกับศีรษะอาจนอนแล้วปวดคอได้



- ยางพารา มีทั้งแบบแข็งและแบบนิ่ม ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี



- ขนเป็ด มีความนุ่มฟูเป็นพิเศษ เหมาะกับผู้ที่ชอบหมอนนุ่มมากๆ มีข้อจำกัด เรื่องการทำความสะอาด (ซักไม่ได้) และราคาค่อนข้างสูง



- นุ่น เป็นวัสดุที่ดีในการทำเครื่องนอน เพราะสามารถปรับให้รับกับสรีระของผู้นอนได้ และราคาไม่แพง แต่มีข้อจำกัด คือ การทำความสะอาดยากและอาจมีเศษนุ่นหลุดเป็นละออง ออกมาจึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้



5. เราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนของตนเองหรือเปล่า
ควร เพราะสรีระแต่ละคนแตกต่างกัน ขนาดของหมอนที่เหมาะกับแต่ละคนจึงต่างกันไปด้วย การเลือกหมอนต้องดูความเหมาะสมกับร่างกาย เช่น ผู้ที่รูปร่างใหญ่ หรือนอนกรน ควรใช้หมอนที่สูง เพื่อให้คออยู่ระนาบเดียวกับลำตัวพอดี ทำให้รู้สึกไม่อึดอัด และลดการนอนกรน หากเป็นคนตัวเล็กอาจหนุนหมอนต่ำลงมาหน่อยเพื่อรักษาแนวระนาบของลำตัว


สำหรับรูปทรงของหมอนขึ้นอยู่กับท่านอนของแต่ละคน ควรเลือกหมอนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และมีส่วนกว้างออกมาถึงช่วงไหล่ เวลาพลิกตัวจะได้ไม่ตกหมอน หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับต้นคอ จะเหมาะกับท่านอนหงาย หากนำมาใช้นอนตะแคงอาจปวดต้นคอ และลองนอนหนุนหมอนทุกครั้งก่อนซื้อ เพื่อทดสอบความพอดีกับต้นคอ ความสูง ความนิ่ม ว่าเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังมีหมอนเพื่อรองรับการใช้งานรูปแบบอื่นๆ เช่น หมอนรองเอว หมอนรองขา หมอนรองคอ หมอนข้าง ผู้ที่มีปัญหาเวลานอนแล้วปวดขา ปวดเอว อาจซื้อหมอนประเภทนี้มารองเพื่อให้รู้สึกนอนสบายยิ่งขึ้นก็ได้






6. หมอนสุขภาพจำเป็นไหม

หมอนสุขภาพมีการผลิตจากวัสดุหลายประเภท เช่น โฟมลาเทกซ์ หรือยางพารา ฯลฯ ซึ่งอาจผลิตให้โค้งเว้าเพื่อรองรับกระดูกต้นคอให้ได้ระนาบเวลานอนมากขึ้น ซึ่งมีข้อดีคือรองรับต้นคอได้พอดีเมื่อนอนหงาย แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบนอนตะแคงเพราะจะคอเอียงและปวดคอได้



ส่วนหมอนที่ผลิตจากเปลือกไม้หรือเปลือกเมล็ดพืช เป็นหมอนที่ผลิตเพื่อรองรับและให้เข้ารูปกับศีรษะและต้นคอของผู้นอนแต่ละคน ซึ่งหลายคนที่เคยทดลองใช้ให้ความเห็นว่านอนหลับสบายขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือราคาแพง และต้องผึ่งแดดบ่อยๆ เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง



7. จะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่แล้ว

อายุของที่นอน/หมอนไม่ควรเกิน 15 ปี ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องสังเกตว่าคุณปวดหลัง ปวดตัว ทุกครั้งที่ตื่นนอน หรือที่นอนยุบลงไปเป็นแอ่งหรือเปล่า ทั้งที่คุณกลับด้านหน้า ด้านหลังมาใช้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณควรเปลี่ยนที่นอนหลังใหม่ เช่นเดียวกับหมอน ถ้านอนแล้วไม่รู้สึกสบายรู้สึกปวดคอ ก็ควรเปลี่ยนได้แล้วค่ะ



8. การนอนกับพื้นดีกว่านอนบนที่นอนจริงไหม

การนอนกับพื้นแข็งมากๆ ทำให้เกิดการกดทับเป็นเวลานาน ระบบเลือดไหลเวียนลำบาก ทำให้เมื่อย และอาจเกิดอาการชาได้ การนอนพื้นจึงควรปูที่นอนบุนวมนิดหน่อย เพื่อกระจายแรงกดทับของหลังกับพื้นโดยตรง แต่ทั้งนี้การนอนพื้นก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรงแต่อย่างใด ถ้าคุณนอนแล้วไม่เกิดอาการปวด หรือเมื่อยหลังก็สามารถนอนได้ค่ะ



9. เครื่องนอนเคลือบสารป้องกันไรฝุ่นเชื่อได้แค่ไหน

ไรฝุ่น (dust mite) เป็นสัตว์ประเภท "แมง" กินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร ไรฝุ่นจึงพบมากที่สุดในห้องนอน และเครื่องนอนต่างๆ 10% ของน้ำหนักหมอนที่เราใช้นาน 2 ปีขึ้นไป มาจากตัวไรฝุ่นและอึของมัน เช่นเดียวกับที่นอนที่ใช้นาน 6 เดือนก็อาจมีไรฝุ่นมากพอที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้เกิดอาการได้




ที่นอน ที่ทำจากใยสังเคราะห์ ฟองน้ำ ใยมะพร้าว หรือยางพารา เมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็เกิดไรฝุ่นได้ ที่นอนที่ไม่มีไรฝุ่น คือ ที่นอนน้ำ (water bed) ส่วนหมอน ควรเลี่ยงชนิดที่ทำจากขนสัตว์ ฟองน้ำ นุ่น แต่ถ้าต้องการใช้ควรหุ้มด้วยผ้ากันไรฝุ่นอีกชั้นก่อนใส่ปลอกหมอนธรรมดา

เครื่องนอนเคลือบสารกันไรฝุ่นอาจช่วยป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง สังเกตได้จากคำว่า Microban Allergy Control หรือ Scot guard ควรเลือกปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น ที่ทำจากผ้าเนื้อแน่น ทอละเอียด ปูทับก่อนปูผ้า หรือปลอกหมอนธรรมดา หากเป็นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรซักผ้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อฆ่าไรฝุ่นด้วย แต่ถ้าไม่ได้ใช้ผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอนกันไรฝุ่น ควรทำความสะอาดที่นอนเป็นประจำทุกเดือน ซักผ้าด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ทุก 1-2 สัปดาห์



10. เราควรเลือกปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างไร

ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกายโดยตรง เนื้อผ้าที่ใช้ควรเป็นผ้านิ่ม เพราะผ้าที่แข็งเกินไปอาจทำให้เกิดรอยยับ หากรอยยับนั้นมากดบนผิวหน้าหรือร่างกายบ่อยครั้งอาจเกิดปัญหาตามมาได้ การเลือกจึงควรเลือกผ้าที่จับแล้วสบายมือพอสมควร ไม่หลุดเป็นขุย เนื้อผ้าที่นิยมใช้ทำเครื่องนอนได้แก่ ผ้า Cotton หรือผ้าฝ้าย ควรเลือกที่เป็น cotton 100% เพราะเนื้อผ้าจะนิ่ม ไม่ระคายผิว ผ้า Cotton satin เป็นผ้าที่ผสมระหว่างผ้าฝ้ายและผ้าไหม เนื้อผ้าจึงนิ่มและลื่นกว่าผ้า Cotton ซึ่งราคาก็สูงกว่าตามไปด้วย

พึงระลึกเสมอว่าของดีราคาถูกไม่มีและควรลงทุนกับเรื่องของสุขภาพให้มากๆ เพื่อที่เราจะได้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และให้การนอนเป็นการพักผ่อนที่มีความสุขอย่างแท้จริง

ส่วนผสม ข้าวสวย 1 1/2 ถ้วย
เม็ดถั่วลันเตา 1/3 ถ้วย
ถั่วแดงหลวงต้มสุก 1/4 ถ้วย
กุ้งแชบ๊วย 6 ตัว
เนื้อปลากะพงขาว 150 กรัม
ปลาหมึกกล้วย 2 ตัว
มะเขือเทศหั่นชิ้นใหญ่ 1 ลูก
หอมใหญ่สับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทรายแดง 1/2 ช้อนชา
ผงกะหรี่ 2 ช้อนชา
น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ล้างกุ้ง แกะเปลือก เด็ดหัวไว้หาง ดึงเส้นดำออก
2. ปลาหมึกเอาส่วนที่รับประทานไม่ได้ออก ล้างแล้วหั่นเป็นแว่น
3. ล้างเนื้อปลา ซับให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นใหญ่
4. ผัดหอมใหญ่กับน้ำมันให้สุกหอม ใส่เนื้อปลา กุ้ง ปลาหมึกพอสุก ใส่ข้าวสวย ผงกะหรี่ ผัดพอสุก
5. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ใส่เม็ดถั่วลันเตา ถั่วแดงหลวง มะเขือเทศ ผัดพอสุก
6. ตักใส่จาน เสิร์ฟ



สูตรจาก
โหระพาดอทคอม
ส่วนผสม ผักสลัดเขียวตามชอบจำนวนพอเหมาะ
แตงกวาหั่นแท่ง 1/4 ถ้วย
มะเขือเทศเชอรี่ 1/2 ถ้วย
เซเลอรี่หั่นบาง 1/4 ถ้วย
ไข่ต้ม 2 ฟอง
กุ้งลวก 10 ตัว
วิธีทำตำพริกกับกระเทียมให้ละเอียด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว ใส่ชามพักไว้ จัดผักสลัด ไข่ต้ม และกุ้งในภาชนะที่เตรียมไว้ เมื่อจะรับประทานราดด้วยน้ำสลัดและถั่วลิสงคั่ว

-น้ำยำ

ส่วนผสม พริกชี้ฟ้า 1 เม็ด
น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1 กลีบใหญ่
ถั่วลิสงคั่วบุบหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ





สูตรจาก
โหระพาดอทคอม
ส่วนผสม เส้นใหญ่ 1/2 กิโลกรัม
เนื้อหมู 250 กรัม
ไข่ไก่ 2 - 3 ฟอง
ผักคะน้า 200 กรัม
บล็อคโคลี่ 150 กรัม
แครอท 100 กรัม
เห็ดหอม 50 กรัม
กระเทียมทุบ 1 หัว
ซอสหอยนางรม 1/4 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 5 ถ้วย
แป้งมัน

วิธีทำ
1. หั่นหมูบางๆชิ้นพอคำ นำมาหมักโดยใช้น้ำมันงา งาขาวและซีอิ๊วขาวเล็กน้อย
2. ล้างผักและหั่นผักพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
3. ลวกบล็อคโคลี่ เมื่อสุกให้นำใส่น้ำที่แช่น้ำแข็งไว้ เพื่อให้สีสวยและหยุดสุก
4. คลุกเส้นใหญ่กับซีอิ๊วดำ
5. ผัดเส้นที่คลุกซีอิ๊วดำในน้ำมัน ใช้ไฟปานกลาง พอได้ที่ เขี่ยเส้นใหญ่ให้เหลือตรงกลางไว้สำหรับตอกไข่
6. ตอกไข่ รอจนไข่ใกล้สุกดี จึงผัดรวมกับเส้น ผัดต่ออีกสักครู่ให้พอกรอบหน่อยๆ
7. ทำน้ำราดหน้า โดยเจียวกระเทียมให้หอมแล้วใส่หมูที่หมักเอาไว้ ผัดให้สุก
8. นำผักคะน้า แครอทและเห็ดหอมลงผัด แล้วเติมน้ำที่ต้มเอาไว้แล้ว
9. เติมเครื่องปรุง ชิมรส แล้วละลายแป้งมันในน้ำเล็กน้อย ค่อยๆเทลงในน้ำแล้วคน ถ้าไม่ข้นพอให้เติมแป้งมันอีก

ทานร้อนๆ ตักเส้นใหญ่ใส่จานหรือชามหากต้องการทานน้ำเยอะ แล้วจึงใส่บล็อคโคลี่ที่ลวกเอาไว้แล้ว

เติมพริกป่น น้ำมะนาว น้ำตาลและน้ำปลา ตามชอบ



สูตรจาก
โหระพาดอทคอม
ส่วนผสม อกไก่ 2 ชิ้นหั่น 1 ถ้วยตวง
ตับ กึ๋น หัวใจ หั่น 1 ถ้วยตวง
ขิงอ่อนหั่นฝอย 3 ถ้วยตวง
เห็ดหูหนูแช่น้ำแล้ว 2 ถ้วยตวง
เต้าเจี้ยวขาว 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
พริกแดง พริกเหลืองหั่น 1/4 ถ้วยตวง
หัวหอมทุบสับ 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. เครื่องในไก่ หั่นเป็นชิ้น สำหรับกึ๋นหั่นเป็นชิ้น แล้วใช้ปลายมีดหั่นจักให้เป็นริ้วๆคล้ายหงอนไก่ เวลาผัดจะสวย ตรงไส้ขูดเอาเมือกออกให้หมด
2. เห็ดหูหนูถ้าใช้อย่างแห้ง ต้องแช่น้ำให้นิ่มแล้วล้างเอาทรายออกให้หมด ตัดตรงขั้วทิ้งใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ แต่ถ้าใช้เห็ดหูหนูสดก็ตัดขั้วแข็งๆออกแล้วล้างให้สะอาด
3. เต้าเจี้ยวขาวล้างน้ำให้สะอาดเพราะบางครั้งจะมีทรายปนอยู่
4. เอากระทะตั้งไฟใส่น้ำมันลงพอร้อน เอาหัวหอมสับกับกระเทียมสับลงเจียวให้หอม
5. ใส่เนื้อไก่ เครื่องในไก่ลงผัดพอสุก ใส่เต้าเจี้ยวขาว ขิงอ่อน เติมซีอิ๊วขาว น้ำตาลปีบ น้ำส้มสายชู พอสุกจึงใส่พริกแดง พริกเหลือง หั่นลงโรยพริกไทยป่นแล้วตักขึ้นใส่จาน

หมายเหตุ
ถ้าชอบหอมหัวใหญ่ก็หั่นใส่ได้แต่ต้องผัดเครื่องในไก่ก่อน



ที่มา
โหระพาดอทคอม

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ


1.นั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)

อานิสงส์ :-
เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2.สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน

อานิสงส์ :-
เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร ,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3.ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามดรงพยาบาลสงฆ์

อานิสงส์ :-
ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4.ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า

อานิสงส์ :-
ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5.ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน

อานิสงส์ :-
เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศ
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6.สร้างพระถวายวัด

อานิสงส์ :-
ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7.แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป

อานิสงส์ :-
ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
จิตเป็นกุศล

8.บริจาคเลือดหรือร่างกาย

อานิสงส์ :-
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราสีผุดผ่อง

9.ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาด รวมทั้งปล่อยสัตว์ ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ

อานิสงส์ :-
ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ

10.ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ

อานิสงส์ :-
ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11.ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)

อานิสงส์ :-
ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12.รักษาศีล 5 หรือ ศีล 8

อานิสงส์ :-
ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา



ขอบคุณบทความจาก บ้านธณรมะ
ส่วนผสม

กุ้งกุลาดำ 6-7 ตัว
พริกยักษ์สีเหลือง ครึ่งลูก
พริกยักษ์สีเขียว ครึ่งลูก
พริกยักษ์สีแดง ครึ่งลูก
ไวน์ขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ผักกรีนโอ๊ค, เรดโอ๊ค (ผักไฮโดรโปนิกส์) อย่างละ 1 ต้น
หอมใหญ่สับ ครึ่งลูก
หอมแดงสับ 3 หัว
กระเทียมสับ 5 กลีบ
เกลือ 1/4 ช้อนชา
พริกไทย 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ เริ่มจากนำกุ้งกุลาดำที่เตรียมไว้ลงผัดในน้ำมันมะกอก ตามด้วยหอมใหญ่สับ หอมแดงสับ และกระเทียมสับ ผัดให้เข้าเนื้อกันดี แล้วปรุงรสด้วยไวน์ขาว จากนั้นก็นำพริกยักษ์ทั้งสามสีลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสอีกครั้งด้วยเกลือและพริกไทย แล้วจึงนำมาจัดใส่จานและตกแต่งด้วยผักกรีนโอ๊คและเรดโอ๊คให้สวยงามเป็นอันเสร็จ

เรียบร้อยไปอีกหนึ่งจานกับ “กุ้งกุลาดำผัดพริกสามสี” ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอี วิตามินบี 2 วิตามินซี และธาตุเหล็กจากผักต่างๆ รวมทั้งวิตามินเอ ไอโอดีน โซเดียม และอีกหลายสารอาหารที่ได้รับจากกุ้งกุลาดำอีกต่างหาก ทั้งอร่อยทั้งดีต่อสุขภาพ



โดย ร้านอาหารอร่อย
ส่วนผสม

กุ้งแชบ๊วยยักษ์ (หรืออาจจะใช้กุ้งแม่น้ำก็ได้ เพราะราคาถูกกว่า)
มันหมู
รากผักชี
กระเทียมบุบ
พริกบุบ
ซวงเจียว (พริก 5 สีของจีน ใช้ในกุ้งอบวุ้นเส้นด้วยเพื่อให้เกิดความหอม)
เหล้าจีน
น้ำมันงา
วิธีทำ

ล้างคราบไคลทะเลออกจากตัวกุ้งให้สะอาดหมดจด จากนั้นใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง เปลือก ขา หัว หาง ให้คงไว้
ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อนจัดๆ แล้วนำกุ้งลงปุ๊บ คลุกไปมาแล้วตักขึ้นทันที เอาพอสะดุ้ง เพื่อกำจัดกลิ่นคาวกุ้งออกไปค่ะ
วางมันหมู ไว้ด้านล่าง ตามด้วยรากผักชี กระเทียบบุบ พริกบุบ ซวงเจียว ตามด้วยกุ้งที่เราสะดุ้งแล้ว นำมาเรียงลงในหม้อดินนั้น
โรยเกลือเม็ด พริกไทย พริกซอย แล้วปิดฝา เปิดไฟ สักครู่เดี๋ยวกุ้งก็จะสุก น้ำมันหมูก็จะออกมา
เปิดฝาหม้อ เหยาะเหล้าจีนกับน้ำมันงา ถึงขั้นนี้กลิ่นหอมอบอวลด้วยเครื่องเทศและกุ้งก็จะโชยแตะจมูกแล้วล่ะค่ะ
เวลาทานก็แนะนำให้เสิร์ฟทั้งเปลือก ซึ่งความจริงเราดูดเปลือกกุ้งไปพลางในเวลาแกะกุ้งก็อร่อยไปอีกแบบค่ะ




โดย ร้านอร่อย
ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง


หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้


วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)


ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย


1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน

พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น


2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว

พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว


3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด

ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น


4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย

ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น


5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง

ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก


6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น

ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด


7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว

ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า


8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย

ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ


9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น

ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น


10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี

ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง


11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก)

ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)


12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้

ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้


13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ

ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย


14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป

ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้


15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา

ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา


16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ

ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ




เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด


ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง


อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง


เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้


ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
สงครามตัวตน

สพฺพา ทิสา อนุปริคมฺม เจตสา
เนวชฺฌคา ปิยตรมตฺตนา กฺวจิ
เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสํ
ตสฺมา น หึเส ปรํ อตฺตกาโม ฯ
สํ. ส. ๑๕/๓๔๘/๑๐๙

ค้นหาด้วยจิตตลอดทิศทั้งหมด...
ก็ไม่พบใครๆซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน...
สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเหมือนกัน...
ฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น...

เสาะสืบค้นสิ่งใดทั่วใต้หล้า
รักยิ่งกว่าตัวตนพบหนไหน
ตนรักตัวของตัวยิ่งกว่าใคร
หาสิ่งใดมาเปรียบเทียบไม่มี
หมู่สัตว์ต่างรักตัวกลัวตายสิ้น
ห่วงชีวินอยู่มิวายหาหน่ายหนี
ย่อมรักตัวกว่าใครใครในปฐพี
รู้อย่างนี้อย่าบีฑาเข่นฆ่ากัน ฯ

...ตั้งแต่เกิด "หัวใจ" ก็ติดมาพร้อมกับร่างกายเราทุกคน หัวใจ
ทุกดวงล้วนสูบฉีดเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย เลือดของคนอาจ
จะแตกต่างกัน บางคนเลือดร้อน บางคนเลือดเย็น แต่เลือดที่
ไหลเวียนทั่วร่างกายทุกคนเหมือนกัน นั่นคือ "เลือดรักตน" ซึ่ง
ถูกสูบฉีดแรงกว่าเลือดทั้งหมด

กล่าวกันว่า ความผูกพันทางสายเลือดตัดกันไม่ขาด แต่ก็เกิด
"สงครามสายเลือด" เปิดศึกรบกันถึงกับเข่นฆ่า สงครามสายเลือด
เกิดขึ้นได้ ทว่าสงครามเลือดรักตนเกิดขึ้นไม่ได้ เอ้ะ! ถ้าว่าอย่างนั้น
ทำไมไม่เกิดกรณีฆ่าตัวตายล่ะ เรื่องนี้มองให้ดี การฆ่าตัวตายมิได้
เกิดเพราะความโลภต้องการแย่งชิงมรดกมาครอบครองเหมือน
สงครามสายเลือด หากแต่เกิดเพราะความรักตน

คนฆ่าตัวตายหรือคนที่อดทนต่อความบีบคั้นของทุกข์ไม่ไหว
อดกลั้นต่อปัญหาต่างๆที่มารุมเร้าไม่ไหว เขาไม่อยากเห็นตนต้อง
ทุกข์ทรมาน ด้วยความรักตนจึงเห็นแก่ตัว "ตัดช่องน้อยแต่พอตัว"
หนีเอาตัวรอด ตัวเรามองเห็นเลือดรักตนไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
ตน เเล้วมองเห็นเลือดรักตนไหลเวียนทั่วร่างกายคนอื่น สัตว์อื่นๆ
บ้างหรือเปล่า เราไม่อยากให้ใครกรีดเอาเลือดรักตนไปฉันใด คน
อื่นและสัตว์อื่นๆ ก็ไม่อยากให้ใครกรีดเอาเลือดรักตนไปฉันนั้นเหมือน
กัน รู้ทั้งรู้ ยังเที่ยวเบียดเบียนคนอื่น บีฑาเข่นฆ่าสัตว์อื่นๆอยู่รึ คนใจร้าย...ฯ

~พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์...ฯ
ค่าของคน


โลกเรานี้ มีอะไร ที่ไหนแน่
มันเปลี่ยนแปร ทุกนาที มิหยุดหนี
มาเถิดท่าน มาร่วมกัน สร้างความดี
เพิ่มชีวี เพิ่มราคา ค่าของคน

อันศีลทาน ภาวนา อย่าได้ละ
อุตสาหะ สืบสร้าง ทางสวรรค์
คงจะถึงนิพพานไม่นานวัน
เกษมสันต์ แสนสุข หมดทุกข์ภัย

จงปฏิบัติ เพื่อขจัด ซึ่งความมืด
อย่าจางจืด ร้างรา หลบหน้าหาย
เพียรปฏิบัติ ทุกเช้าค่ำ ไม่กล้ำกราย
เพื่อจะไป ให้ถึง ซึ่งนิพพาน






ขอบคุณบทความจาก ธรรมจักร
มีคนเคยสันนิษฐานคำว่าพระเสื้อเมืองทรงเมือง ว่า "เสื้อ" คำนี้คงจะเป็น "เชื้อ" คือเชื้อสาย พระเสื้อเมืองก็คือพระเชื้อเมือง โดยหมายถึงว่าเป็นผีเชื้อสายหรือเทวดาที่คุ้มครองรักษาเมืองตามลัทธิของไทยโบราณที่นับถือผีบรรพบุรษปู่ย่าตายาย
สำเนียงไทยทางเหนือบางเหล่าพูดเพี้ยนแปร่งออกเสียงเชื้อเป็นเซื่อหรือเสื้อ พระเชื้อเมืองจึงกลายเป็นเพระเสื้อเมือง เมื่อเขียนแล้วผู้เขียนได้พบท่านเจ้าคุณอนุมานราชธนท่านบอกว่าชอบกล ทำให้ท่านนึกถึงแมลงผีเสื้ออีกอย่างหนึ่งไทยทางเหนือเขาก็ถือกันว่าเป็นผี เพราะถ้าบินมามากๆแล้วทำให้เกิดความเจ็บไข้ตายกันได้
จากปากคำของท่านเสฐียรโกเศศอันเป็นที่เคารพนับถึอ ประกอบกับการได้อ่านพบอะไรมาบางอย่าง จึงทำให้สันนิษฐานว่าผีเสื้อนี้คงจะเป็นผีเชื้ออีกเหมือนกัน
ที่ผู้เขียนได้อ่านพบก็คือในพวกพม่าไทยใหญ่เขาถือกันว่าวิญญาณของคนเหมือนผีเสื้อโบยบินท่องเที่ยวไป ผีเสื้อจึงน่าจะตรงกับผีเชื้อ คือ ผีเชื้อสายปู่ย่าตายาย ตามที่กล่าวมานี้
จึงสันนิษฐานว่า ตัวแมลงที่เราเรียกกันว่าผีเสื้อนี้คงจะมีมูลมาจากไทยเดิมถือกันว่าเป็นวิญญาณของผีเชื้อสาย จึงได้เรียกกันว่าผีเชื้อ แต่หากสำเนียงต่างกัน ผีเชื้อจึงกลายเป็นผีเซื่อ (ถ้าให้ไทยทางเหนือและอีสานเรียกผีเสื้อเราจะฟังออกเสียงเป็นเซื่อชัดๆ) ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นผีเสื้อทำนองเดียวกับพระเชื้อเมืองเป็นพระเสื้อเมืองนั่นเอง


ที่มา 108 ซองคำถาม

Tom cruise - ทอม เรือสำราญ
Alicia silverstone - อลิเซีย ศิลาเงิน
Sandra bullock - น้องทราย วัวถึก
Kevin bacon - เควิน หมู3ชั้น
Rease Witherspoon - รีส กับช้อนของเธอ

Neve Campbell - เนินหิมะ ระฆังค่าย
Elijah Wood - อะไรจ๊ะ หวูดดดด
Will Smith - (ฉัน) จะเป็นช่างทำโลหะ
Nick Carter - นิค นักขับ
Winona Ryder - วิโนน่า นักขี่

Nicole Kidsman - นิโคล เด็กหนุ่ม
Britney Spears - น้องบริท พุ่งหลาว
Natalie Portman - นาตาลี นายท่า
Nicolas Cage - นิโคลัส กรง
Huge Grant - ใหญ่ สมปราถนา

Justin Timberlake - ก็แค่ในขอนไม้ริมทะเลสาบ
Mariah Carrey - พวงมาลัย มือถือ
Will young - จะหนุ่ม
Christina Aguilera - กฤษณา อัครลีลา
Leyton hewitt - เลย์ตัน หิวอิฐ

Angelina jolie - นางฟ้า แสนสวย
Naomi campbell - นาโอมิ เห็ดกระป๋อง
Silvester Starlone - ช่างเงิน เด่นคนเดียว
Andy Gracia - แอนดี้ ขอบคุณหลาย
Jim Carrey - จิม มือถือ

Lauren Fishburn - ลอร์เรน ปลาเผา
Harry Potter - แฮรี่ ช่างทำหม้อ
Gareth Gate - กาเรท ประตู
Hughe Jackman - ใหญ่ จอมขโมย
Vin Diesel - รอก เครื่องดีเซล

George Bush - โอ้จอร์จ ในพุ่มไม้
Richard Gear - ริชาร์ด เกียร์รถยนต์
Chris Rock - คริส หิน
Rosemund Pike - กุหลาบหอม ทวนแหลม
Adam Sander - อดัม ขนทราย

Matt Demon - แมตท์ ปิศาจ
Tiger Woods - เสือ ไม้
Brad Pits - แบรด ตกหลุม
Edward Furlong เอ็ดเวิร์ด ขนยาว
Orlando bloom - มลรัฐ ไม้กวาด

Sandra bullock - แสงดาว บุญล้อม
Julia robert - จูเลีย ระเบิด
Jennifer aniston - เจนนิเฟอร์ กา***าทันสมัย
Cher - แพง, ที่รัก
Morgan Freeman - หม้อแกน ผู้ชายอิสระ

Tom Hank : บักทอม เมาตลอดศก
Arnold Schwarzsnakehead อานนท์ คนเหล็กหัวงูทมิฬ
Avril Lavigne - เมษายน ต้นองุ่น (ภาษาฝรั่งเศสน่ะ ได้ยินมาอีกที)
Puff Daddy - ที่โบ๊ะหน้าคุณพ่อ
Madonna - มะดันเน่า

Mariah Carey - ม้าลาย คาลบี้
Jamiroquai - จะไม่หลอก ค-ว-า-ย
Celine Dion - สลิ่มเดี๊ยน
Vanessa Calton - วาเนสซ่า ขาตัน
Emma Bunton - เอมม่า บั้นตัน

Whitney Houston - หวิดหนี หูดตัน
Toni Braxton - โถนี้ แบกตัน
Jessica Simpson - 7สีกา ซิ้มสั่น
Gene Hackman - สารพันธุกรรมนักเจาะข้อมูล
Martin Lawrence - มาร์ติน ล้อเล่น

Aaliyah - (อี๋) อารายอ้า
Toya - โถย่า
Ja Rule - จรูญ
Linkin Park - ลิงกินผัก
กะลาสีหนุ่มสะพายถุงทะเลเข้าเมืองเขามีอาการอ่อนเพลียขนาดหนัก หน้าตาสะโหลสะเหลจากการท่องทะเลมาหลายวันทำให้ต้องหาโรงแรมเพื่อพักนอนอยู่ทั้งคืนแต่หาไม่ได้เลย มีโรงแรมเล็กๆแห่งเดียวเท่านั้นที่พอมีหวัง


พนักงาน "ห้องเต็มหมดครับ แต่มีอยู่ห้องหนึ่งเป็นเตียงคู่ มีลุงอ้วนพักอยู่ 2-3 คืนแล้ว เขาเคยบอกว่าหากใครคิดจะแชร์ห้องกับเขาก็ไม่มีปัญหาจะได้ช่วยประหยัดค่าห้อง จะโอเคไหมครับ"

กะลาสีหนุ่ม "ผมคงอดนอนไม่ไหว นี่ก็ดึกเกินไปแล้ว ขอแชร์ห้องก็แล้วกัน"

พนักงาน "แต่ขอเตือนหน่อยว่าลุงคนนี้นอนกรนสนั่นโลกเลย เมื่อคืนก่อนขนาดคนนอนห้องข้างๆ ยังบ่นเลยว่านอนไม่หลับเพราะเสียงกรนของลุงอ้วนมันดังจริงๆ คุณพี่ยังคิดจะแชร์ห้องไหมครับ"

กะลาสีหนุ่ม "ไม่มีปัญหา ผมง่วงมาก ใครจะกรนดังอย่างไรผมไม่สน"

ตกลงกันเรียบร้อย พนักงานจึงพากะลาสีหนุ่มขึ้นไปเปิดห้องที่ว่า ภายในห้องมีลุงอ้วนนอนหลับอยู่ ส่งเสียงกรนกลบห้องไปหมด เมื่อส่งกะลาสีหนุ่มเรียบร้อยแล้ว พนักงานจึงลงมาทำงานปกติ กระทั่งรุ่งเช้า กะลาสีหนุ่มหน้าตาสดใสกว่าคืนก่อนเยอะเดินลงมาจากห้องหาอาหารเช้ากิน พนักงานมองหน้าแล้วถามด้วยความสงสัยไม่ได้


พนักงาน "คุณพี่นอนหลับสบายดีหรือครับ"


กะลาสีหนุ่ม "ไม่ได้หลับสนิทอย่างนี้มาหลายคืนแล้ว เมื่อคืนหลับสบายมาก"


พนักงาน "เสียงกรนของลุงอ้วนดังลั่นอย่างนั้น คุณพี่นอนได้อย่างไร"


กะลาสีหนุ่ม "ก่อนจะนอนผมก็ทำให้แกเลิกกรนก่อน วิธีง่ายๆ คือ ผมแค่ขึ้นไปบนเตียงของลุงอ้วนแล้วจูบที่แก้ม กระซิบที่หูลุงอ้วนเบาๆว่า ให้นอนหลับฝันดีนะจ๊ะที่รัก ขึ้นไปคร่อมหอมแก้มซักพัก ลุงอ้วนก็สะดุ้งตื่น แกกระโดดไปนั่งอยู่ที่โซพาในห้อง ตัวสั่นนั้งจ้องผมเขม็ง ผมหลับสบายจนตื่นมาตอนเช้าก็ยังเห็นลุงอ้วนนั่งตัวสั่นจ้องผมอยู่อย่างนั้น" !!?!!

ต้น : วันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: ไปสยามมาคับ
เอก: แล้วไงวะ
ต้น: เดินผ่านหญิง เค้าหันกลับมามองเลยคับ
เอก: โห เมิงหล่อมาก !
ต้น: ป่าวคับ เหยียบตีนเค้า



ต้น: แล้ววันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: ไปเที่ยวกลางคืนมาคับ
เอก: เออ เปนงัยวะ
ต้น: หิ้ว ญ กลับมาคนนึงคับ
เอก: โหย เปยงัยวะ
ต้น: นม งี้ดูไม่ได้เลยคับ
เอก: เห้ยทำนมหรอวะ
ต้น: เค้าไม่ให้ดู คับ



ต้น : แล้ววันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: เมาเหล้าคับ
เอก: เหย ธรรมดาๆ
ต้น: แล้วปวดฉี่ คับ
เอก: แล้วทำไงวะ
ต้น: เลยไปฉี่ตรงศาลพรภูมิ
เอก: เห้ย แล้วไหว้รึป่าว
ต้น: กลับมาจู๋บวมเลยคับ
เอก: เมิงไม่ไหว้อะดิ
ต้น: ซิบหนีบจู๋ คับ



ต้น: แล้ววันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: วาเลนไทน์คับ
เอก: เปนไงๆ
ต้น: ผู้หญิงที่คณะวิ่งถือดอกไม้มาหาผม ทุกคนเลย
เอก: โห เมิงป๊อปมากเลยนะเนี่ย
ต้น: ป่าวคับ เค้าเอามาขาย



ต้น: แล้ววันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: ไปคัดตัวนักวิ่งมาคับ
เอก: เออ เปนงัยวะ
ต้น: 100 ม. ผมวิ่งได้ 4 วิ คับ
เอก: โห หยั่งงี้ติดทีมชาติเลยนะเนี่ย
ต้น: วิที่ 5 ล้มคับ



ต้น: แล้ววันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: พ่อพาผมไปโรงพัก
เอก: เออ แล้วไงต่อๆ
ต้น: คนไหว้พ้อผมทั้งสน.เลยคับ
เอก: โห พ่อเมิงใหญ่มากเลย
ต้น: พ่อเป็นพระคับ



ต้น: แล้ววันก่อนคับ
เอก: ทำไมวะ
ต้น: ไปบ้านเพื่อนมาคับ
เอก: แล้วไงต่อวะ
ต้น: เหนแม่เพื่อนถือถาดมาให้
เอก: แม่มาเสิร์ฟน้ำเลยหรอวะ
ต้น: ขายลอตตารี่คับ
เซลส์แมนคนหนึ่งพยายามโทรหาลูกค้า เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น
ปรากฏเสียงหนูน้อยคนหนึ่งกระซิบ "ฮาโหล หวัดดีคับ"

เซลส์แมน "แม่ของหนูอยู่มั้ย"

หนูน้อยกระซิบ "อยู่คับ"

เซลส์แมน "ขอพูดกับแม่ของหนูหน่อยสิ"

หนูน้อยกระซิบ "แม่ไม่ว่างคับ"

เซลส์แมน "แล้วพ่อของหนูอยู่มั้ย"

หนูน้อยกระซิบ "อยู่คับ"

เซลส์แมน "ขอพูดกับพ่อของหนูหน่อยสิ"

หนูน้อยกระซิบ "พ่อไม่ว่างคับ"

เซลส์แมน "แล้วมีใครอื่นอยู่อีกบ้างมั้ย"

หนูน้อยกระซิบ "พวกพนักงานดับเพลิงคับ"

เซลส์แมน "ขอพูดกับพวกเค้าซักคนหน่อยสิ"

หนูน้อยกระซิบ "พวกเค้าไม่ว่างคับ"

เซลส์แมน "แล้วนอกจากนี้มีใครอื่นอยู่อีกมั้ย"

หนูน้อยกระซิบ "พวกตำรวจคับ"

เซลส์แมน "ขอพูดกับพวกเค้าซักคนหน่อยสิ"

หนูน้อยกระซิบ "พวกเค้าไม่ว่างคับ"

เซลส์แมน "พูดตรงๆเลยนะหนู พ่อของหนู แม่ของหนู
พนักงานดับเพลิง แล้วก้อตำรวจอยู่ที่บ้านหนูกันหมด
แถมพวกเค้าก็ยุ่งกันทุกคนด้วย เค้าทำอะไรกันอยู่เนี่ย"

หนูน้อยกระซิบ "พวกเค้าหาตัวผมอยู่คับ"
สวัสดีครับ...
สวัสดีค่ะ...
นี่คือคำทักทายของพนักงานที่ยืนอยู่เคาเตอร์แคชเชียร์

"150 บาท ค่ะ"
"นี่ตังทอนค่ะ 50 บาท"
"ขอบใจจ่ะ" ลูกค้าตอบ...พร้อมกับลูกค้าคนต่อไปเดินเข้ามายิ้มแย้มแจ่มใส

"หนู ยายอยากดูคลิป หนูมีคลิปให้ยายดูไหม" คุณยายถาม
พนักงานมองหน้ากันแล้วหันมายิ้มให้คุณยาย

"สักครู่นะครับ" แล้วพนักงานก็หันไปปรึกษากัน
"นี่ คุณยายเขารู้ได้ไงว่าเรามีคลิปอยู่ในมือถือ"

"นั่นสิ แต่จะเอาให้ดูเลยไหม"

"จะบ้าหรอเผื่อคุณยายเป็นสายของตำรวจจะว่าไง"

"นั่นสิ"
คุณยายรอนานชักจะทนไม่ไหว

"ว่าไงตกลงมีหรอไม่มี" พนักงานเริ่มหวั่นพร้อมกับหันมายิ้ม

"จะดีหรอครับคุณยาย"

คุณยายมีน้ำโห
"เอะ..มันจะไม่ดีได้ไงก็ฉันเป็นลูกค้ามาซื้อคลิปหนีบกระดาษ
หรือว่าร้านเธอไม่มีก็บอกมาสิ นี่มันเสียเวลาฉัน"

"คลิปหนีบกระดาษ" พนักงานพูดประสานเสียง

"ใช่คลิปหนีบกระดาษ...หรือว่าเธอนึกว่าอะไร"

"หนูก็นึกว่าคลิปหนีปกระดาษนั่นล่ะค่ะ"
สูติแพทย์ของโรงพยาบาลรู้สึกแปลกใจเป็นอันมาก
เมื่อชายหนุ่มที่เพิ่งเป็นพ่อหมาดๆ รายหนึ่งเดินเข้ามาหาเป็นการส่วนตัว

“ผมพอจะช่วยอะไรคุณได้บ้างมั่งครับ “ คุณหมอถามไถ่อย่างอารมณ์ดี

“หมอ “ คุณพ่อลูกอ่อน ครางเสียงอ่อย
“ผมกลุ้มใจเหลือเกินลูกผมทำไมถึงหัวแดงออกน้ำตาลอย่างนั้น “

“ทำไมกะอีแค่เด็กผมแดงออกน้ำตาลหน่อย คุณถึงกับกลัดกลุ้มมากนัก
“หมอถามเพราะยังงงๆอยู่

“คืองี้ครับ ... ไอ้ผมเองก็ผมดำ แม่เด็กก็ผมดำ
ปู่ย่าตาทวดเราก็ผมดำทั้งนั้น” สามีอธิบายหมอ
“หมอพอจะอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ไหมว่า ทำไมลูกผมจึงผมแดง “

หมอนั่งคิดสักครู่
พร้อมกับซักไซ้ไล่เรียงเทือกเถาเหล่ากออยู่ไปเป็นนาน
ก็หาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายหมอก็ถามว่า

“ถามจริงๆ เหอะ คุณกับภรรยานอนกันบ่อยแค่ไหน “

“เอ่อ ....ก็ ...ก็ ..เดือนละครั้ง สองครั้ง “

“มิน่า ........” หมอตบเข่าหนึ่งฉาด

“เพราะอะไรหรือหมอ “ สามีถามอย่างกระตือรือล้น

“นานๆ ใช้ที มันก็ขึ้นสนิมนะซิ หัวเด็กผ่านออกมา ก็เลยติดสนิมหนะ “
คุณสิงหาได้รับโบนัสพิเศษจากบริษัทให้ไปดูงานที่ลอนดอน 1 เดือน
แต่คุณศรีสมรเป็นห่วงสามี กลัวจะทำอะไรเปิ่นหรือพลาดพลั้งทำอะไรที่เป็นอันตรายแก่ตัวเอง หล่อนจึงเตือนสามีไปว่า

ศรีสมร : คุณพี่จำไว้นะว่าอย่าไปนั่งรถเมล์ที่ลอนดอนอย่างเด็ดขาด

สิงหา : ทำไมล่ะ ถ้าแท็กซี่ไม่มีก็ต้องนั่งรถเมล์อยู่ดี

ศรีสมร : งั้นถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็อย่าไปนั่งรถเมล์บนชั้น 2 ก็แล้วกัน

สิงหา : ทำไมถึงนั่งไม่ได้ล่ะคุณ

ศรีสมร : ก็บนชั้น 2 มันไม่มีคนขับน่ะสิ

สุนีย์ : ฉันล่ะเบื่อผัวของฉันจริง ๆ เลยยัยแป๋ว

แป๋ว : ผัวเธอไปทำอะไรอีกเหรอยัยสุ

สุนีย์ : ไม่รู้ว่าไปทำทุเรศอะไรที่ไหน ตกกลางคืนเก็บมาละเมอด้วย

แป๋ว : ละเมอถึงผู้หญิงคนนั้นเหรอ

สุนีย์ : ไม่รู้..แต่ฉันได้ยินเต็มสองรูหูว่า..อย่าสิ สุ..อย่าโอว..ซี้ดส์

แป๋ว : โถคิดมากไปได้ เขาคงฝันถึงเรื่องอย่างว่ากับเธอนั่นแหละยัยสุ

สุนีย์ : แต่ไอ้คนที่เขาละเมอพูดออกมามันไม่ใช่ชื่อสุนีย์นี่ย่ะ

แป๋ว : งั้นคงชื่อสุมาลี หรือว่าสุวิมลล่ะสิ

สุนีย์ : แต่มันตะโกนสุดเสียงอีตอนไคลแมกซ์ว่า “โอว..สุเชาว์นี่ยะ” มันเจ็บใจจริงๆ
มือกอล์ฟสมัครเล่นสองคนที่เพิ่งจะหลงใหลวงสวิง
เหมือนกับใครต่อใคร จึงตั้งใจจะไปหัดกอล์ฟโดย
ให้โปรช่วยจับวงให้ที่สนามไดรฟ์แห่งหนึ่ง

"โคตรจะเบื่อโปรที่นี่เลยว่ะ" ป๊อปมือกอล์ฟสมัคร
เล่นคนแรกบ่นกับเพื่อนที่มาหัดไดร์ฟด้วยกัน

"ทำไมล่ะวะ" เพื่อนอีกคนสงสัย

"แม่ม...คอยจะจับให้อั๊วยืนให้ถูกท่าอยู่เรื่อยเลย" ป๊อปว่า

"อ้าว เขาก็ทำดีนี่หว่า ยืนให้ถูกฝีมือจะได้พัฒนาเร็ว
เอ็งน่าจะขอบใจเขาด้วยซ้ำไปนะ" เพื่อนตำหนิป๊อป

"ไอ้เรื่องนั้นอั๊วก็รู้อยู่" ป๊อปถอนหายใจ

"แต่ไม่น่าถึงขนาดมาจับตอนอั๊วยืนฉี่อยู่นี่หว่า"
เมียหลวง

คือ ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอ
จนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือ
ความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือนเสือ


เมียเก็บ

คือ อาหารพิเศษ มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้ง
เป็นคราว เพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะ


เมียน้อย

คือ ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผู้ชายเพิ่งมาค้นพบภายหลัง


เมียแต่ง

คือ ผู้หญิงที่ทรงคุณค่าและคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้น แต่ไม่
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้


เมียเช่า

คือ ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงานอดิเรก รสนิยม
สูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสเงินสด


เมียจ๋า

คือ ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ต้นรักเหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่งคุก
เข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า เพราะมีประวัติเพิ่งทำการ
ละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อย
พูดตะกุกตะกักว่า ’ เมียจ๋า ’ ซึ่งเป็นคำพูดในความหมาย ขออภัย ไถ่โทษ


เมียKu

คือ ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เพราะยังไม่มีการรวม
ตัวของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อน
กั้นน้ำลายพัง ทำให้เอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่
ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสั มพันธ์ลึกซึ้ง


เมียบังเกิดเกล้า

คือ ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็นศูนย์
เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคาย
บุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามี
จากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่
อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง


สามีที่มีภรรยาประเภทนี้ จึงใช้คำ
พูดอยู่สองคำ คือ ’ ครับ ’ และ ’ ใช่ครับ ’ และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า ’ แม่ ’ มัก
อธิบายให้เพื่อนฟังว่า เรียกตามลูก แต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียก
ด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า ’ นอก
ใจ ’ ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้ว


เพิ่มเติม ความหมายของคำว่า เมีย (WIFE)

W = without = ปราศจาก

I = Information = แจ้งให้ทราบ

F = Fighting = ต่อสู้ (ทะเลาะ)

E = Every Day = ทุก ๆ วัน


รวมความก็คือ

Without Information Fighting Everyday

แปลเป็นไทยก็คือ หาเรื่องทะเลาะได้ทุกๆวัน โดยปราศจากการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ..55555


คำเน้นๆๆจากใจสามี


กาลเวลาอาจทำให้ผู้หญิงกลายเป็นเมียเกือบทุกประเภท


เมียดีนั้นหายาก
ต้องลำบากออกรถใหม่
ขนส่งจากไกล้ใกลใช้หยาดเหงื่อเปืองน้ำมัน
หาเมียเเทบทุกวันที่ เจอนั้นมีแต่มาร
สองตายายเป็นคนที่มีความสุขที่ใครต้องอิจฉา เพราะมีลูกหลานห้อมล้อมให้ความรักอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้ต่างพากันไปทำธุระของตัวเอง มีเพียงสองตายายที่อยู่บ้าน

เนื่องด้วยทั้งสองเป็นคนที่ขี้ลืมตามวัยที่ทั้งสองทราบกันดี จึงหาวิธีกันลืมโดยที่ทั้งสองต้องจดทุกครั้งเมื่ออีกคนฝากให้ทำอะไรให้
ตอนสายๆของวันนี้ทั้งสองนั่งเล่นอยู่แคร่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ขณะเดียวกันตาเกิดรู้สึกกระหายขึ้นมา จึงจะเข้าไปเอาน้ำมาดื่ม ยายจึงฝากด้วย

"ตาเข้าไปแล้วอย่าลืมเอาน้ำกระเจี๊ยบในตู้ให้ด้วยนะ...จดด้วย"

"โอ้ยแค่นี้เดินไม่กี่ก้าวเองไม่ต้องจดหรอก...ไม่ลืมไม่ลืม"

ตาหายเข้าไปสักพักก็เดินออกมาพร้อมกับของที่ยายฝาก

"น้ำส้ม" ยายพูด พร้อมโมโห

"เห็นไหมบอกให้จดให้จดไม่ยอมจด สั่งน้ำลำใยได้น้ำส้มแล้วจะได้กินไหมเนี่ย"

ว่าแต่ตกลงใครลืมกันแน่นะ

บุญถึงตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ของเช้าวันเสาร์ เขารู้สึกปวดหัวและเมาค้างเนื่องจากเมื่อคืนหนักไปหน่อย แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่า เสื้อผ้าที่เขาใส่เมื่อคืนนี้ได้ถูกซักอย่างสะอาดและรีดอย่างเรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนอนถูกจัดไว้เป็นระเบียบ เขามองเห็นโน้ตกระดาษวางอยู่บนโต๊ะมีข้อความว่า “ที่รัก...อาหารเช้าของคุณวางอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องครัว กาแฟอยู่ในกาบนเตา ฉันออกไปซื้อของที่ตลาด อีกประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว รักคุณมากที่สุด”


บุญถึงขยี้ตาแล้วลองหยิกแขนตัวเอง เมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่เขาฝันไปแน่นอน จึงเกิดความสงสัย “มันเกิดอะไรขึ้น ?” โดยปกติเขาจะมีปากเสียงกับภรรยาของเขาทุกครั้งที่เขาเมากลับบ้าน แต่เมื่อคืนนี้เขาเมายิ่งกว่าคืน ก่อนๆ แต่ทำไมทุกอย่างมันกลับตาลปัตรอย่างนี้


เขาเดินเข้าไปในครัว อาหารเช้ากาแฟถูกจัดไว้อย่างดีสำหรับเขา พร้อมกับเห็นหน้าลูกชายนั่งกินอาหารเช้าอยู่ก่อนแล้ว


บุญถึง “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ?”


ลูกชาย “เมื่อคืนพ่อกลับบ้านตอนตีสาม พ่อเมามากเดินโซเซชนตู้แตก เก้าอี้หัก แล้วพ่อยังอ้วกเลอะบ้านไปหมด”


บุญถึง “จริงเหรอ ! แล้วแม่ไม่โกรธพ่อเหรอ”


ลูกชาย “แม่ลงมาดูแล้วโกรธมาก แม่ลากพ่อไปยังห้องนอน แล้วแม่ก็ถอดกางเกงที่เลอะอ้วกของพ่อออก”


บุญถึง “แล้วยังไงต่อ”


ลูกชาย “พ่อไม่ยอมให้แม่ถอด พ่อได้แต่พูดว่า “คุณ..คุณ...อย่าดีกว่า ผมมีเมียแล้ว”
ตำรวจวอชิงตัน ดี.ซี. ในสหรัฐฯ ออกมาบอกว่ามีหนึ่งคดีแปลกที่ยังไขปมไม่ได้ชัดเจน โดยเรื่องที่ยังปวดหัวอยู่นี้เกิดขึ้นกับสาวที่ยอมรับว่าสวยรายหนึ่ง?!

เธอบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะมีชายแปลกหน้าโผเข้ามาโอบกอดขณะที่เธอกำลังหลับอยู่บนเตียง และหลังจากหล่อนตั้งตัวได้ ก็รีบคว้าโทรศัพท์แจ้งความเอาผิดกับชายที่ย่องเข้าบ้านมาขโมยกอด

ผลการสอบสวนที่ถูกเปิดเผยมีเพียงว่า หญิงผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ส่วนสาเหตุของการบุกรุกเข้าไปถึงห้อง คุณตำรวจเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับประเด็นทางเพศ เพราะในอดีตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

แต่ที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นคำให้การของเหยื่อสาว เธอระบุด้วยความภาคภูมิใจว่า ฉันมีหนุ่ม ๆ ตามจีบเยอะ เพราะว่าฉันเนื้อหอม!.
คุณศักดิ์สี อายุเกือบ ๖๐ ปี ป่วยเป็นโรคปวดหัวเข่า เดินขึ้นบันไดที่ทำงานไม่ไหว จึงไปหาหมอที่คลีนิค ระหว่างที่หมอซักถามอาการ คุณศักดิ์สีก็ไม่ค่อยจะมองหน้าหมอ ต้องหันไปทางขวา หมอก็สงสัยถามว่า

“ ทำไมคุณลุงต้องนั่งเอียงข้างยังงี้ด้วยครับ “

“ คือผมฟังที่หมอพูดไม่ค่อยได้ยินน่ะครับ ต้องเอียงหูซ้ายฟัง “

ศักดิ์สีบอก แล้วก็เลยถือโอกาสถามว่า

“ พอจะมีทางแก้ไขได้ไหมครับ “

“ คุณลุงไม่ได้ยินมานานหรือยังครับ “

“ โอ….หูข้างขวาของผม มันแย่มาตั้งแต่อายุห้า
สิบกว่า ๆ แล้วละครับ “

“ มันเสื่อมสภาพไปตามความชราน่ะครับ “

“ อ้าว…….”

คุณศักดิ์สีแสดงความแปลกใจ

“ ทีหูข้างซ้ายมันก็อายุเท่ากันนี่หมอ ทำไมมันถึงยังดีอยู่ล่ะครับ “
ส่วนผสม หมูสามชั้น 1000 กรัม
กาน่าช่าย 500 กรัม
เห็ดหอมแห้ง 200 กรัม
เครื่องพะโล้ 1 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
พริกไทยดำ 20 กรัม
น้ำต้มไก่ 2500 กรัม
กระเทียม 30 กรัม
เหล้าจีน 100 กรัม
ผงอโรมาต 30 กรัม
ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา

วิธีทำ
1. ตั้งหม้อใส่น้ำซุปไก่ พอเดือดใส่หมูสามชั้น เห็ดหอม กาน่าช่าย เครื่องพะโล้
2. ปรุงรส ด้วยน้ำตาลปี๊บ เหล้าจีน ผงอโรมาต ซีอิ๋วดำ ซีอิ๋วขาว
3. พอเดือดให้หรี่ไฟ เคี่ยวประมาณ 30 นาทีหรือหมูสามชั้นนุ่ม
4. ชิมรสชาติให้ออกเค็มหวาน และเติมน้ำมันงา เหล้าจีน
5. พอเดือดให้ปิดไฟ พร้อมเสิร์ฟ



ที่มา
โหระพาดอทคอม
ส่วนผสม ฟองเต้าหู้แผ่น 500 กรัม
หน่อไม้ 300 กรัม
แครอท 300 กรัม
พริกหยวก 300 กรัม
เห็ดหอม 300 กรัม
มันแกว 300 กรัม
น้ำมัน 20 กรัม
ผักกาด 300 กรัม
เกลือ พริกไทยขาว
ซีอิ๋วขาว

ส่วนผสมซอส น้ำมันหอย 50 กรัม
ซีอิ๊วขาว 50 กรัม
ผงปรุงรส 10 กรัม
ต้นหอม 20 กรัม
เหล้าจีน 50 กรัม

วิธีทำ
1. ตั้งกระทะกับน้ำมันพอร้อน ใส่หน่อไม้ เห็ดหอม แครอท พริกหยวก มันแกว
2. ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และซีอิ๋วขาว แล้วผัดให้เข้ากัน พักไว้
3. นำเครื่องที่ผัดมาม้วนในฟองเต้าหู้แผ่นให้แน่น
4. นำไปนึ่งกับผักกาด พักไว้

วิธีทำซอส
1. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่ส่วนผสมของซอส แล้วเคี่ยวจนได้ที่
2. ยกเสิร์ฟพร้อมเต้าหู้สอดไส้








ที่มา
โหระพาดอทคอม

เครื่องปรุง กุ้งแชบ๊วย 10-12 ตัว
กระเทียมโทน (กระเทียมกลีบใหญ่ๆ) 5 เม็ด
รากผักชีสับ 3 ราก
กระเทียมโทนหั่นแผ่นบาง 10 หัว
น้ำซีอิ๊วปรุงรสสำหรับนึ่ง 1 ถ้วย
กระเทียมโทนดอง 10-15 หัว
ต้นหอมซอยเล็กๆและแครอทสลักดอกไม้ที่มีเกสรเป็นดอกกุยช่าย (สำหรับตกแต่ง) หรือจะหั่นแครอทบางๆก็ได้ค่ะ
น้ำจิ้มซีฟูด

น้ำซีอิ๊วปรุงรสสำหรับนึ่ง
น้ำซุปกระดูกหมู 1 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนชา
ซีอิ๊วฮ่องกง (หรือใช้เป็นซีอิ๊วขาว) 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
เหล้าจีน 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
>> ให้ใส่เครื่องปรุงทุกอย่างลงในหม้อ ยกตั้งไฟกลางจนน้ำตาลละลาย ยกลง (ปรุงรสเพิ่มได้ตามต้องการ)

น้ำจิ้มซีฟู้ด
พริกขี้หนูเขียว 1 ถ้วย
กระเทียมแกะเปลือก 1 ถ้วย
รากผักชี 3 ราก
น้ำปลา 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วย
>>ปั่นเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกันจนละเอียด ตักใส่ถ้วยพักไว้

วิธีทำ
1. ล้างกุ้งและแกะเปลือกไว้หัวและหาง ผ่าหลังจนขาด ดึงเอาเส้นดำออก
2. จากนั้นม้วนหางกุ้งกลับมาตรงกลางตัวกุ้ง (สังเกตจากรูป) ทำจนครบทุกตัว เรียงใส่จานสำหรับนึ่ง
3. สับกระเทียมโทนกับรากผักชีเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ตรงกลางตัวกุ้งที่ทำไว้จนครบ โรยด้วยกระเทียมโทนหั่นบาง
4. ราดด้วยน้ำซีอิ๊วปรุงรสให้ทั่ว
5. นำไปนึ่งในน้ำเดือดไฟแรงประมาณ 5-8 นาที จนสุก จึงปิดไฟ
6. ยกจานกุ้งนึ่งออก แล้วโรยด้วยน้ำกระเทียมโทนดอง ตกแต่งด้วยต้นหอมซอยท่อนเล็กและแครอทสลักดอกไม้ที่มีเกสรเป็นดอกกุยช่าย
7. เสิร์ฟกับน้ำจิ้มซีฟุ้ด



ที่มา
โหระพาดอมคอม

เครื่องปรุง เป็ด 1/2 ตัว
ขิงซอย 100 กรัม
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป 1/2 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมบุบ 10 กลีบ
น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ล้างเป็ดให้สะอาด สับชิ้นขนาด 2x2 นิ้ว
2. ล้างขิงโดยซาวกับเกลือ ล้างน้ำทิ้ง แช่น้ำไว้
3. ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่กระเทียม พอหอมใส่เป็ด น้ำซุป ซีอิ๊วขาว ผัดจนเป็ดหายเหนียว ใส่ขิง ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ



ที่มา
โหระพาดอทคอม

เครื่องปรุง แผ่นแป้งปอเปี๊ยะ 150 กรัม
มันแกวซอย 100 กรัม
ถั่วงอก 20 กรัม
แครอตซอย 30 กรัม
กะหล่ำปลีซอย 30 กรัม
หอมใหญ่ซอย 30 กรัม
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับผัด
น้ำมันสำหรับทอด
วิธีทำ
1. ผัดไส้ปอเปี๊ยะทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรสตามชอบ
2. นำมาห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะ จากนั้นนำไปทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มเผ็ดหวาน
การแพ้จริง ๆ นั้นคือการที่เราล้มลงและไม่ลุกขึ้นสู้ ..

หลายคนเมื่อถึงจุดหักเหของชีวิต .. พวกเขาไม่สามารถต้านทานมันอยู่ ..

จนทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บ .. และคนรอบข้างก็พลอยเจ็บ ..

บางครั้ง .. มันทำร้ายเราถึงขั้นที่เราไม่เหลืออะไรเลย ..

ไม่มีแม้แต่จะมีกำลังอยู่ต่อบนโลกใบนี้ ..

แต่อย่าลืม ว่า ..ทุกอย่างมันย่อมมีทางออกของมันเอง ..

มีคนเคยบอกว่า .. เมื่อเราถึงทางตัน ..

ลองมองหาดี ๆ มันจะมีเส้นหนึ่งเส้น .. ช่องทางหนึ่งช่องทาง .. ให้เราออกได้เสมอ ..

เมื่อคุณล้ม .. อย่าไปคิดว่าเราจะต้องล้มตลอด ..

พยายามลุกขึ้นสู้ .. ถ้าไม่มีแรงลุกขึ้น ..

ลองมองหาแรงใจ .. จากคนรอบข้างมาเป็นแรงผลักดัน ..

และอย่าคิดว่าคุณ ..ไม่เหลือใคร ..

ไม่เคยมีใครที่คิดดีทำดีและจะไม่เหลือใคร .. ไม่เหลือเพื่อน ..

ทุก ๆ คนคอยที่จะอ้าแขนรับคุณ ..

เพียงแต่คุณจะเอื้อมมือไปให้เขาพยุงคุณลุกหรือไม่ ..

สู้ .. ต่อไป .. ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเราจะล้มลง .. จนไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นสู้ .
คุณรู้จัก "ดักแด้" ไหม มันเป็นอย่างไร?
เขาจะเป็นคนอย่างที่เราเห็นเพียงภายนอกเหรอ?

คนที่ท่าทางขึงขัง ดุดัน ดูภูมิฐานมั่นคง
มักจะอ่อนแอกว่าที่เห็นภายนอก เสียน้ำตาง่ายๆ กับบางเรื่อง

คนที่ท่าทางอ่อนแอ ถูกรังแกเสมอ จะเป็นคนเข้มแข็ง
เพราะเขาผ่านช่วงเวลาแสนเจ็บปวดมามากมาย

คนที่อารมณ์ดี ร่าเริงตลอดเวลา มักจะโมโหร้าย
และพร้อมที่จะระเบิดตลอดเวลาที่โมโห
เพราะเขาไม่เคยรู้จักยับยั้ง จะปล่อยออกมาทุกสภาพอารมณ์

คนที่หน้ามุ่ย ดูอารมณ์เสียตลอดเวลา
จะไม่เที่ยวพาลคนอื่น เพราะเขาจะเก็บความเครียดเอาไว้เอง

คนที่มีเพื่อนเยอะ มักจะไม่พบเพื่อนแท้ เมื่อเขาโกรธเพื่อนคนไหน
เขาก็จะแยกไปอยู่กับคนอื่นเสมอจะไม่มีการคุยปรับความเข้าใจกัน
เพราะเขาจะคิดเสมอว่าเขามีเพื่อนเยอะเขาไม่จำเป็นต้องง้อใคร

คนที่มีเพื่อนเพียงแค่หนึ่งหรือสองคน
เขาจะไม่มีที่พึ่งที่ไหนนอกจากเพื่อนสนิทของเขา
ดังนั้นไม่ว่าเขาจะโกรธกันแค่ไหนก็ตาม
เขาจะให้เวลาเพื่อปรับความเข้าใจกัน
เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่า เพื่อนนั้นมีค่ามากแค่ไหน

คนที่ไม่เคยพ่ายแพ้ มักจะทนไม่ได้ที่จะดูความอับอายของตนเมื่อ
ได้ทำพลาดไป และจะโทษคนอื่นเสมอ

คนที่ไม่เคยได้พบกับความสำเร็จ
มักจะไม่กระตือรือร้นที่จะสร้างชื่อเสียง
เพราะเขารู้สึกชินชาที่ไม่ได้รับการสรรเสริญ
หลวงปู่บุดดา ถาวโร
จัดว่าเป็น “รัตตัญญู”
คือ เป็นผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มากรูปหนึ่ง
ของคณะสงฆ์ไทย...
ด้วยท่านมีอายุยืนยาน ถึง ๑๐๑ ปี
ก่อนจะมรณภาพ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗

แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก
แต่ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ
จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ
มีคราวหนึ่ง...ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์
คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง
ซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค

ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอก
จึงอยากลองภูมิหลวงปู่
ได้ถามหลวงปู่ว่า...จะเทศน์เรื่องอะไร..?
หลวงปู่ตอบว่าง... “เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา”...
ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า... “ตัวโกรธเป็นอย่างไร”...
หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า... “ส้นตีนไงล่ะ”...

เท่านั้นเอง..ท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ไม่ยอมเทศน์กับหลวงปู่
วันนั้น..หลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว..
เมื่อเทศน์จบแล้ว....
ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น..
พร้อมกับอธิบายว่า...
“ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ..มันหน้าแดง ๆ นี้แหละ..”

หลวงปู่ท่านแนะนำว่า...
วิธีการเอาชนะความโกรธของท่าน..
เมื่อเวลาท่านโกรธ..
ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วยการกราบ
เพราะ...ตัวโกรธกลัวการกราบ...
ท่านว่า..เวลาท่านโกรธ ๑ ครั้ง ท่านก็ลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง
โกรธ ๒ ครั้ง ก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง
ก็ขอเชิญทุกท่าน..
ลองนำวิธีดับความโกรธของท่านไปใช้ดู...
ได้ผลอย่างไร..ก็ช่วยบอกต่อ ๆ กัน..
ผู้เขียนก็เห็นว่า..ดี..ทดลองใช้แล้วก็เห็นผลจริงดังท่านแนะนำ...





ขอบคุณลานธรรมจักร

บันทึกธรรม เรื่อง
"ความเบื่อโลก"

โดย พระชุมพล พลปญฺโญ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๖


อาการเบื่อโลกที่เกิดขึ้น เพราะเคยถูกสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่างหลอกให้หวังจากโลกมากเกินไป สื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือ ได้มากล่อมให้เราหลงเชื่อว่า โลกนี้ช่างสวยสดงดงามนัก สื่อเหล่านี้ ได้สร้างจินตนาการให้เราสร้างโลกแห่งความฝันให้เรา โลกแห่งความฝันของทุกคนมักจะสวยหรูเสมอ แต่ต้องขอโทษด้วยที่จะต้องบอกว่า โลกแห่งความจริงมันผิดกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฉะนั้น ถ้าหากใครถูกหลอกให้ชื่นชมยินดีหลงระเริงกับโลกแห่งความฝันมากเท่าไหร่ จะต้องเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น เมื่อความเป็นจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เคยปราณีต่อคนโง่เขลา ได้ปรากฏตัวแสดงความเป็นจริงของมันออกมา ความจริงโลกมันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นนั่นแหละ

โลกนี้มันมีทั้งด้านเจริญ ด้านเสื่อม ด้านขึ้น ด้านลง ด้านบวก ด้านลบ มันเป็นคู่ของมันอย่างนั้น คู่ที่ประกอบมาจาก ๒ ข้างที่ต่างกัน

ถ้าเราไปยินดีในข้างเจริญ เราจะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนกับข้างเสื่อม
ถ้าเราไปยินดีในข้างขึ้น เราจะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนกับข้างลง
ถ้าเราไปยินดีในข้างบวก เราจะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนกับข้างลบ

บอกแล้วว่า ดีใจก็เพื่อเสียใจ ลิงโลดก็เพื่อเศร้าสร้อย ตื่นเต้นก็เพื่อเหงาหงอย สมหวังก็เพื่อผิดหวัง ยินดีก็เพื่อยินร้าย เฟื่องฟูก็เพื่อตกดิ่ง โด่งดังก็เพื่ออับแสง

บุคคลที่มีสุขภาพจิตดีที่สุด ก็คือ บุคคลที่ไม่ยินดียินร้ายไปตามโลกนั่นเอง

ความจริงโลกมันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นที่ต้องมีด้านบวกและด้านลบ แต่เราไปบ้ากับมันเอง สิ่งที่ธรรมดามันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา สิ่งที่ธรรมดามันก็เลยมาทำให้เราเป็นทุกข์ ที่เราเป็นทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงของมัน ถ้าหากเราเข้าใจสภาพความเป็นจริงของมัน แล้วปล่อยวางเสีย มันก็หมดเรื่อง ก็โลกมันก็เป็นของมันอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไปทุกข์กับมันทำไม มันขึ้นของมันอย่างนั้น มันลงของมันอย่างนั้น มันเจริญของมันอย่างนั้น แล้วมันก็เสื่อมของมันอย่างนั้น ที่เราเป็นทุกข์เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นมันเอง

ฉะนั้น การแก้ความทุกข์นั้นแก้ที่ไหนก็ไม่สำเร็จ ต้องมาแก้ที่ใจเราเอง ถอนความยึดมั่นอะไรในโลกเสีย ถอนความหวังอะไรในโลกเสีย อย่าหวังอะไรจากโลก อย่าหวังอะไรแม้แต่หมูในอวย

ขอให้พยายามสร้างกุศลบารมี สร้างความดี ทาน ศีล ภาวนา ไปเรื่อยๆ เถิด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะจัดตัวของมันไปในทางที่ดีเอง จงให้อาหารแก่จิตให้มากๆ อาหารกายเราก็ได้หามาให้ทุกวันอยู่แล้ว แต่อาหารใจเรายังขาดอยู่ อาหารใจก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง เธอจะไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ถ้าขาดมัน

... เธอจะไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าขาดมัน ...







ขอบคุณลานธรรมจักร
หญิงสาวผู้หนึงถุกข่มขืนจึงไปแจ้งความ


ตำรวจ : ไหนเล่าเหตุการณ์มาซิว่าเป็นยังไง


หญิงสาว : ก็มือหนึ่งมันจับล็คอคอ
อีกมือหนึ่ง มันล็อคที่มือ
แล้วมันก็ถกกระโปรง


ตำรวจ : เล่ารายละเอียดสิ


หญิงสาว : มือซ้ายล็อคคอ มือขวาล็อคมือ


ตำรวจ : แล้วมือไหนถกกระโปรง


หญิงสาว : มือหนูเองค่ะ


ตำรวจ : ????????????
ส่วนผสม

ปลาทับทิม 1 ตัว
ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด อย่างละนิดหน่อยสำหรับนึ่งปลา
วิธีทำ

ล้างปลาให้สะอาด ใส่ข่า ใบมะกรูดลงในท้องปลา วางตะไคร้ใต้ตัวปลานำไปนึ่งจนสุก


น้ำพริกแจ่ว

ส่วนผสม

น้ำส้มมะขาม 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1-2 ช้อนชา
หอมเล็กซอย 3-5 หัว
ผักชีใบเลื่อยซอย 1-2 ต้น
วิธีทำ

ผสมส่วนผสมทั้งหมดรวมกัน ชิมรสให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม หวาน ตักใส่ชามแล้วโรยผักชีใบเลื่อยให้สวยงาม


น้ำพริกหนุ่ม

ส่วนผสม

พริกหนุ่มเผา 5-7 เม็ด
หอมเล็กเผา 5-7 หัว
กระเทียมเผา 7-10 กลีบ
มะเขือเทศสีดาเผา 3-5 ลูก
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลาร้า 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ

เผาพริกหนุ่มใช้ไฟอ่อน ลอกเปลือกและกรีดเม็ดพริกออก (ถ้าชอบเผ็ดจะใส่ก็ได้) ตำทั้งหมดรวมกัน ชิมให้ได้รสเค็มจากน้ำปลาร้า และรสเปรี้ยวจากมะเขือเผา ตักใส่ชามแล้วโรยหน้าด้วยผักชีต้นหอมซอย


Tips

ถ้าใช้มะเขือส้มลูกเล็กกลม เปลือกบาง ของทางเหนือรสจะเปรี้ยวอร่อยกว่า


นิตยสาร Health & Cuisine
ส่วนผสม
เครื่องแกงแดง 3/4 ถ้วย
กุ้งแห้งตำแล้วยีให้ฟู 300 กรัม
ลูกบัวต้มสุกนิ่ม 1 ถ้วย
น้ำมันพืชประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายขาว 5 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดหั่นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ

ตำเครื่องแกงแดง (ตามส่วนผสมเครื่องแกงแดงในสะเต๊ะปลา ) 2 ส่วน บวกผิวมะกรูดเพิ่มขึ้นอีก 1 ช้อนชา
คั่วกุ้งแห้งที่ตำแล้วให้พอแห้ง ใช้ไฟอ่อน ตักขึ้นพักไว้
ผัดเครื่องแกงกับน้ำมันพอหอม แล้วจึงใส่กุ้งแห้งใช้ไฟอ่อนค่อย ๆ ผัดให้ทั่ว ผัดสักครู่จึงค่อยๆ โรยน้ำตาล ผัดจนกุ้งแห้งกรอบ โรยใบมะกรูดหั่นฝอยก่อนตักขึ้น
เม็ดบัวแห้งแช่น้ำค้างคืนไว้ ต้มไฟอ่อนจนนิ่ม พักให้สะเด็ดน้ำ ทอดในน้ำมันร้อนจนสุก ตักขึ้นซับน้ำมันแล้วเคล้ากับพริกขิง รอจนพริกขิงเย็นแล้วเก็บใส่ขวดปิดฝาให้แน่น กินกับไข่เค็มและถั่วฟักยาวลวก
Tips

กุ้งแห้งที่ใช้ควรเป็นกุ้งแห้งอย่างดีตัวใหญ่ รสจืด เมื่อตำแล้วเนื้อจะฟูและไม่เค็มเกินไปจึงจะอร่อย
กุ้งแห้งและเครื่องแกงจะใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดหยาบ ๆ แล้วใช้ครกตำอีกครั้งจะช่วยเบาแรงและประหยัดเวลาได้มาก
น้ำตาลไม่ควรใส่ตอนคั่วกุ้งแห้งจนแห้งแล้ว เพราะน้ำตาลจะไม่ละลาย แต่ถ้าไม่หวานและอยากเติมน้ำตาลหลังจากกุ้งแห้งแห้งแล้ว ให้ละลายน้ำตาลกับน้ำเป็นน้ำเชื่อมข้น ๆ ค่อย ๆใส่ลงไปและคั่วไฟอ่อนจนแห้ง
ไม่ควรเติมเกลือเพราะกุ้งแห้งมักจะเค็มอยู่แล้ว ควรชิมรสดูก่อน



นิตยสาร Health & Cuisine

บ่ายวันหนึ่งในห้องเรียน



ครู: ให้นักเรียนเขียนรายงานเรื่อง
"การแข่งขันฟุตบอล"
คนล่ะไม่น้อยกว่า 1 หน้ากระดาษฟุลสแก๊ป
ส่งท้ายชั่วโมงเรียน



นักเรียน: ครับ/ค่ะ



แต่ปรากฎว่าเด็กชายบอยนอนหลับ
มาตื่นเอาจวนจะหมดเวลา จึงงัวเงียเขียนลงไปในกระดาษว่า



"วันนี้ฝนตก งดการแข่งขัน"
นายหงอกมีโอกาสจะได้ไปเที่ยวทัศนาจรต่างประเทศ
แต่ด้วยความที่รู้ภาษาอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ จึงมาถามเพื่อนว่า

“เรื่องอะไรฉันก็ไม่วิตกจะกินจะนอนอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
แต่เรื่องส้วมนี่ฉันกลัวจริง ๆ กลัวจะเข้าห้องผิด อายเขาตายห่ะ “

เพื่อนที่มีความรู้ภาษาอังกฤษชนิด เสน็ก ๆ ฟิช ๆ ก็บอกว่า ห้องสุขาชายเขาจะเขียนว่า MAN ของผู้หญิงเขาจะเขียนว่า WOMAN นายหงอกก็บอกว่าเผื่อจำไม่ได้ล่ะ

นายแมวเพื่อนผู้หวังดีก็บอกว่า

“ ก็จำไว้ซีผู้ชายตัวหนังสือมันสั้นกว่า ห้องผู้หญิงมันยาวกว่า “

นายหงอกก็จำไว้ให้ขึ้นใจ เมื่อกลับจากทัศนาจรแล้วก็มาต่อว่านายแมวว่า

“ฉันก็เข้าห้องสุขาที่มันเขียนสั้น ๆ แล้วนี่หว่า พอออกมาผู้หญิงมองกันใหญ่เลย “

“แกเข้าห้องที่เขาเขียนว่ายังไง ใช่ภาษาอังกฤษหรือเปล่า “

นายหงอกก็บอกว่า

“ห้องหนึ่งมันเขียนยาวเฟื้อย ฉันก็เข้าห้องที่เขียนสั้นน่ะซี ไอ้เราก็สงสัยว่าทำไมมันไม่มีที่ฉี่ “

นายแมวสงสัย

“ จำได้ไหมห้องที่แกเข้ามันเขียนว่ายังไง “

“ จำได้ซีมันสั้นนิดเดียว มีตัวแอล เอ ดี วาย

รวมสาวสวยมากมาย

ข้อมูลนก

ปลาสวยงาม-ตู้ปลาสวยงาม-ข้อมูลปลาทะเล

อาหารสมอง-วาไรตี้

เรื่องขำขัน

สูตรอาหาร-อาหารน่ากิน-ขนมหวานน่าอร่อย

ภาพปริศนา