google search

Google

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่เลย

clock

ปฏิทิน

Blog Archive

เทคโนโลยีทันสมัย

ภาพถ่ายนักเรียนน่ารักๆ-วัยรุ่น-นักศึกษา-นางแบบ-ดารา

สาวสวยเซ็กซี่-สาวน่ารัก

วิทยาศาสตร์

รูปแปลก-ภาพแปลก-ภาพขำขำ

เรื่องน่ารู้ทั่วไป

สัตว์บก-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ -สัตว์น้ำ -สัตว์ปีก -สัตว์เลื้อยคลาน -สัตว์ในวรรณคดี

BlogRoll

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน

จระเข้ประหลาดในยุคครีเตรเซียส

Miami : สวรรค์...หรือดินแดนอาชญากรรม

ไขปริศนาปลาพญานาค

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ

การกลับมาของ "อเล็กเซย์" เมื่อราชวงศ์โรมานอฟได้คืนชีพ ?!

ปลาหมึกยักษ์ อสูรร้ายใต้สมุทร

แกะปมปริศนาลำแสงมรณะของอาร์คิมิดีส

ความเชื่อในสิ่งลึกลับ : หมอผีวูดู

นอสตราดามุส ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

ตำนานแม่มดแห่งเมือง Blair

flag

free counters

เรียวมะ ซาคาโมโต : บุรุษทรนง

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

ตำนานมนุษย์หมาป่า

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

การกลับมาของโรคระบาด

ตามหา"ไอ้ตีนโต" มนุษย์วานรดึกดำบรรพ์

มหันตภัยธรรมชาติในอนาคต

มังกรมีจริงหรือเพียงแค่ตำนาน ?

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

ปริศนารูปถ่ายของยูนิคอร์น

ภาพถ่ายวิญญาณจากต่างแดน

ภาพถ่ายวิญญาณ (ภาค2)

ภาพถ่ายศพนางเงือก

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพถ่ายวิญญาณ

เรื่องสยองที่ abac

ภาพถ่ายวิญญาณของไทย

ผีในการท่องเที่ยว

ซุปเด็กสุดสยอง

สิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ของโลก

ตัวอะไรเนี่ย

photo หน้า...น่าเกลียด

15 โรงแรมแปลก แหวกแนวสุดยอด

''โคลอสเซียม'' : สังเวียนแห่งความตาย

1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่

เปิดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ

อาถรรพณ์ปูโสม : วิญญาณเฝ้าทรัพย์

นักเล่านิทานบันลือโลก

มัมมี่แห่งศตวรรษที่ 21

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเหตุใด ?

ผู้ติดตาม

friend

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ใคร ๆ ก็ต้องแปรฟัน แล้วทราบถึงประโยชน์ของการแปรฟันหรือไม่ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...


การแปรงฟันนอกจากจะช่วยไม่ให้ฟันผุแล้วยังช่วยให้ไม่ปวดหลังอีกด้วย ข้อมูลนี้ก็ได้มาจากสื่อโทรทัศน์ บอกไว้ว่า เวลาแปรงฟันในแต่ละครั้ง มันจะไปกระตุ้นสารบางอย่างออกมาขณะที่แปรงฟัน


สารนี้ที่ว่านั้นมันจะไหลเวียนไปในส่วนต่าง ๆ เช่น ในระบบประสาทรวมถึงมันจะช่วยยับยั้งการเจ็บปวดหลังได้ดีอีกด้วย เพราะฉะนั้นคนที่มีอาการปวดหลัง ก็อาจจะลองไปปฏิบัติดูได้

เพราะผู้ที่ลองทำก็ได้ผลกันทั้งนั้นแต่ถ้าผู้ที่มีอาการปวดมาก ๆ อาการมันก็ไม่ได้หายไปทั้งหมดแค่ทุเลาเท่านั้น

รู้อย่างนี้แล้ว การแปรงฟังกันบ่อย ๆ ก็ได้ประโยชน์หลายอย่างเหมือนกัน แล้วอย่าลืมแปรฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อสุขภาพฟันที่ดี.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


การศึกษาค้นคว้าชิ้นหนึ่งได้ค้นพบว่า บรรดาผึ้งทั้งหลายนั้นสามารถรู้จำใบหน้าของมนุษย์ได้จากภาพถ่าย และสามารถจำได้นานเป็นเวลาอย่างน้อย 2 วันเลยทีเดียว

การค้นพบดังกล่าวนี้ได้สลัดทิ้งความคลุมเครือทั้งหลายเกี่ยวกับคำถามที่ได้มีการศึกษาค้นคว้ามาอย่างยาวนานว่า ผึ้งนั้นมีความสามารถในการรู้จำใบหน้าของมนุษย์ได้เช่นเดียวกับความสามารถเช่นเดียวกันนี้ของมนุษย์ได้หรือไม่

นักวิทยาศาสตร์กล่าวเสริมว่า จากผลการค้นพบนี้อาจช่วยในการพัฒนาซอฟต์แวร์รู้จำใบหน้า (face–recognition software) รวมทั้งการศึกษาเจาะลึกไปถึงสมองของแมลงต่างๆ นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อกันมานานแล้วว่า การรู้จำใบหน้านั้นต้องการสมองที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้งบริเวณที่จำเพาะในสมองเพื่อการประมวลผลข้อมูลใบหน้าด้วย ซึ่งเอเดรียน จี. ไดเออร์ (Adrian G. Dyer) หัวหน้าคณะผู้วิจัยงานชิ้นนี้กล่าวว่า การค้นพบนี้เป็นการขจัดข้อสงสัยไปจนหมดสิ้น

เขาเล่าว่า เมื่อเขาได้ค้นพบข้อมูลนี้แล้ว เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากถึงกับตะโกนบอกเพื่อนร่วมงานของเขาให้มาพบเขาโดยเร็ว เนื่องจากว่า “คงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ เพราะฉะนั้นให้นำกล้องถ่ายรูปติดตัวมาด้วย!!”

ไดเออร์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เราพบว่าสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (invertebrate) จะมีความสามารถในการรู้จำใบหน้าของสิ่งมีชีวิตในสปีชี่ส์อื่นๆ แต่ว่าไม่ใช่ผึ้งทุกชนิดที่จะมีความสามารถดังกล่าว ในหลายกรณี มนุษย์เราไม่สามารถที่จะรู้จำใบหน้าได้ ซึ่งไดเออร์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ภาวะเช่นนี้เรียกว่า prosopagnosia

ในการศึกษากับผึ้ง ซึ่งจะถูกรายงานไว้ใน Journal of Experimental Biology ฉบับวันที่ 15 ธันวาคมนั้น

ไดเออร์กับผู้ร่วมงานอีก 2 ท่านจะนำเสนอผึ้งกับภาพถ่ายใบหน้ามนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งได้มาจากแบบทดสอบมาตรฐานเกี่ยวกับจิตวิทยาของมนุษย์ ภาพถ่ายเหล่านี้จะมีความสว่าง สีของฉากหลัง ตลอดจนขนาดที่ใกล้เคียงกัน และรวมถึงให้มีเฉพาะภาพใบหน้าและช่วงคอเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการที่บรรดาผึ้งที่นำมาทดลองนั้นจะตัดสินจากเสื้อผ้า ในบางกรณี คนที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายนั้นมีความคล้ายคลึงกับตัวจริงเป็นอย่างมาก

คณะนักวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยโยฮันน์ กูเตนเบิร์ก (Johannes Gutenberg University) ในประเทศเยอรมนี พยายามที่จะฝึกหัดบรรดาผึ้งในการรู้จำว่า ภาพถ่ายใบหน้าคนมีหยดของเหลวที่ละลายด้วยน้ำตาลเอาไว้ใกล้ๆ กัน จากนั้นรูปภาพอีกชุดหนึ่งที่แตกต่างกันจะถูกนำมาแทนที่หยดของเหลวดังกล่าว








ผึ้งจำนวนหนึ่งประสบความล้มเหลวในการรู้จำว่า

พวกมันควรให้วามสนใจไปยังภาพถ่ายเท่านั้น ไดเออร์รายงานว่า แต่ทว่ามีผึ้งจำนวน 5 ตัว เรียนรู้ที่จะบินวนไปมาใกล้ๆ ภาพถ่ายในแนวนอน ในมุมมองที่เหมาะสมกับการจ้องมองที่ภาพถ่ายนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผึ้งเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะบินวนไปวนมาในระดับไม่กี่เซนติเมตรทางด้านหน้าของภาพถ่ายในชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะ “ร่อนลง” ไปเกาะบนภาพถ่ายนั้น

คณะผู้วิจัยค้นพบว่า บรรดาผึ้งเรียนรู้ที่จะแยกความแตกต่างระหว่างใบหน้าที่ถูกต้องออกจากใบหน้าที่ผิดด้วยความแม่นยำสูงถึงร้อยละ 80 ถึงแม้ว่าใบหน้าพวกนั้นจะมีความคล้ายคลึงกันมากก็ตาม และไม่ได้พิจารณาถึงว่าภาพถ่ายนั้นถูกวางไว้ในตำแหน่งใด แต่กระบวนการรู้จำใบหน้าของผึ้งนี้ก็คล้ายๆ กับมนุษย์ในแง่ที่ว่า ถ้าภาพถ่ายนั้นถูกพลิกแบบกลับหัวกลับหางก็จะไม่สามารถระบุได้อย่างถูกต้อง

คณะผู้วิจัยระบุไว้ในรายงานการค้นพบว่า “นี่เป็นหลักฐานว่า การรู้จำใบหน้านั้นจำเป็นต้องมีทั้งส่วนจำเพาะในสมองและระบบประสาทขั้นสูงเป็นพื้นฐานที่สำคัญ” และเป็นที่น่าสังเกตว่าการทดลองนี้ก็เป็นการทดลองชุดเดียวกับที่ใช้ในคนที่มีความผิดปกติในการรู้จำด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาระบุด้วยว่า

“ผึ้งจำนวน 2 ตัวซึ่งถูกทดสอบมาแล้วเป็นเวลา 2 วันแล้วยังคงจดจำข้อมูลไว้ในหน่วยความจำระยะยาวได้” ผึ้งตัวหนึ่งถูกให้คะแนนไว้ที่ร้อยละ 94 ในวันแรก และร้อยละ 79 ในวันที่สอง ส่วนผึ้งอีกตัวหนึ่งนั้นมีคะแนนตกลงไปจากร้อยละ 87 เหลือเพียงร้อยละ 76 ในช่วงเวลาเดียวกัน

นอกจากนั้น คณะผู้วิจัยยังได้ตรวจสอบว่าบรรดาผึ้งจะมีความสามารถในการรู้จำได้ดีกว่าสำหรับใบหน้าคนที่ได้รับการพิจารณามาแล้วว่ามีความแตกต่างกันมากๆ พวกเขาค้นพบว่า นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ผลลัพธ์นั้นก็ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (statistical significance) แต่อย่างใด

ไดเออร์เขียนในอีเมล์ว่า บรรดาผึ้งนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าใจใบหน้าของมนุษย์นั้นคืออะไร เขากล่าวเสริมว่า “สำหรับบรรดาผึ้งนั้น ใบหน้าเป็นรูปแบบเชิงมิติ (spatial patterns) หรือเป็นของแปลกประหลาดที่คล้ายๆ กับดอกไม้”

ผึ้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในแง่ความสามารถในการรู้จำรูปแบบ (pattern–recognition abilities) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันถูกพัฒนาขึ้นเพื่อที่จำแนกความแตกต่างระหว่างดอกไม้ สำหรับแมลงซึ่งอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั้นก็ใช้ในการจำแนกพวกที่อยู่ในรังเดียวกันได้ แต่ในการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า พวกมันสามารถรู้จำใบหน้าของมนุษย์ได้ดีกว่าที่มนุษย์จะทำได้ด้วยจำนวนเซลล์สมองในอัตราส่วน 1 ต่อ 10,000 เลยทีเดียว


ที่มา
World-Science
วันนี้เราจะมาแก้คดีกรรมของนาง หลิงฟ่งจู ทำไมนางจึงต้องทุกข์ทรมานด้วยโรคร้ายคุกคามจนถึงกับกลายเป็นคนเลิะเลือนสติไม่สมประกอบ นั่นเป็นเพราะผลกรรมที่นางก่อไว้ตั้งแต่ในชาติปางก่อนบัดนี้ถึงเวลาที่เจ้ากรรมนายเวรในอดีตตามคิดบัญชีกับนางแล้วในอดีตชาติ นางหลิง ฟ่ง จู ผู้นนี้ได้เกิดเป็นชายที่มณฑลฮกเกี๋ยน อำเภอ ฮกจิว มีชื่อว่า “ไต้เจียว” นายไต้เจียวมีเพื่อนสนิทกันมากคนหนึ่ง ชื่อว่า “ไฉ่ จิ่ง” อยู่มาวันหนึ่ง ไต้เจียวได้ขอยืมเงินจำนวน 300 อีแปะ จากไฉ่จิ่งเพื่อนรักเพื่อมาลงทุนทำการค้า จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเข้า เขาก็เกิดความเสียดายไม่อยากชดใช้เงินที่ยืมมาคืนให้แก่เพื่อน ทุกครั้งที่นาย ไฉ่จิ่ง เอ่ยปากทวงถามถึงหนี้สินเดิมนายไต้เจียวก็จะพูดจาบ่ายเบี่ยงผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดเมื่อถูกทวงหนี้ที่ยืมไปหนักเข้าๆ ในใจจึงคิดวางแผนชั่วขึ้นโดยออกอุบายเชิญนายไฉ่จิ่งเพื่อนรักให้มาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านและในคืนนั้นเองนาย ไต้ เจียวก็ได้มอมเมาเพื่อนรักด้วยสุราจนฟุบไปไม่ได้สติ จากนั้นเขากับนาง หงซื่อ ภรรยาผู้สมรู้ร่วมคิดจึงช่วยกันลากนายไฉ่จิ่ง เข้าไปวางไว้บนเตียงในห้องนอน พร้อมกับจัดแจงถอดเสื้อของ นายไฉ่จิ่ง ออกกองไว้ พอใกล้รุ่งเช้า นายไต้เจียวก็ให้ภรรยาของตนแสร้งขึ้นในนอนบนเตียงด้วย และร้องไห้ฟูมฟายว่าถูก นายไฉ่จิ่ง เพื่อนของสามีเข้ามากระทำมิดีมิร้ายข่มเหงนาง นางหงซื่อร้องเอะอะโวยวายเพื่อให้ชาวบ้านมาเป็นพยานรับรู้ส่วนตัวนายไต้เจียว ก็ทำทีเป็นว่ามาพบเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าพร้อมกับไปเรียกเจ้าหน้าที่ทางการให้มาจับตัวเพื่อนของตนไปสอบสวนนายไฉ่ จิ่ง ให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องจริงๆและตนเองเมาสุราจนหมดสติไปแต่เนื่องจากมีเจ้าทุกข์และพยานเน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด เขาจึงถูกพิพากษาให้ต้องติดคุกเป็นเวลา 8 ปี ข้างฝ่ายครอบครัวของนายไฉ่จิ่ง ผู้บริสุทธิ์ ก็ได้พยายามใช้เงินวิ่งเต้นคดี เพื่อให้เขาได้ลดหย่อนโทษและในที่สุดแม้ว่านายไฉ่ จิ่ง จะสามารถพ้นโทษออกจากคุกได้ก่อนกำหนดก็จริงแต่ทว่าเขาไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลย ตัวของนายไฉ่ จิ่ง พร้อมทั้งครอบครัวต้องตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัส ซึ่งตรงข้ามกับนายไต้ เจียว ผู้ซึ่งใช้แผนชั่วคดโกงเงินของเพื่อนกลับยิ่งรวยวันรวยคืน นายไฉ่ จิ่ง ยิ่งเห็นยิ่งเจ็บแค้นใจจนในที่สุดก็ตรอมใจตายเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดก็คือ อดีตชาติของนางหลิงฟ่งจู ที่ได้ก่อกรรมสร้างเวรเอาไว้ แม้ว่าคนในโลกจะตายไปแล้ว และในยมโลกพญายมผู้เป็นใหญ่แห่งนรกก็ได้ตัดสินลงโทษทัณฑ์แก่ดวงวิญญาณผู้กระทำผิดไปแล้ว แต่เรื่องราวของความอาฆาตแค้นระหว่างกัน เป็นเหตุแห่งโซ่กรรมบ่วงเวรที่ต้องติดตามมาชำระหักล้างกันที่บนโลกมนุษย์อีก นี่เอง มาถึงปัจจุบันในภพนี้ชาตินี้ นายไต้เจียว ผู้โกงหนี้เพื่อนในอดีตชาติก็ได้เกิดมาเป็น นาง หลิง ฟ่ง จู และมื่อเวลาแห่งการชดใช้มาถึง เจ้าหนี้นายเวร คือวิญญาณของนาย ไฉ่จิ่ง ผู้ซึ่งยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดเพราะตายลงด้วยความผูกใจเจ็บแค้นอาฆาตบัดนี้สบโอกาสจึงได้เข้าสิงร่างของนาง หลิง ฟ่ง จู ทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก จิตประสาทไม่ปกติ จนกระทั่งนานวันเข้า หู ตา คอ จมูก ปากและประสาทสัมผัสทั้งหลายก็เสื่อมสลายไม่อาจรับรู้อะไรทั้งสิ้นจวบจนบัดนี้ก็ไม่สามารถรอดพ้นการติดตามจองเวรจากวิญญาณของนาย ไฉ่จิ่งไปได้และสามีของนางหลิงฟ่งจูในชาตินี้ก็คือ นางหงซื่อ ซึ่งเป็นภรรยาของนายไต้เจียวในอดีตชาติก็ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับกรรมที่เคยก่อไว้ร่วมกันเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทั้งสองคน คงจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาของตนทั้งหมด จึงควรที่จะสำนึกผิดได้แล้ว จงรีบสร้างบุญสร้างกุศล อุทิศให้แก่วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรผู้ติดตามมาทวงหนี้และหมั่นเพียรกราบไหว้สักการะ ขออำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยเมตตาไกล่เกลี่ยกับเจ้ากรรมนายเวรให้ด้วย เจ้าทั้งสองจงตั้งจิตอธิษฐานขอขมาบาปภายใน 3 วันนับจากนี้ มนุษย์ที่อยู่ในโลกทุกวันนี้ เข้าใจไปว่าการกระทำความผิดใหญ่หลวง จึงจะถือว่ามีบาปมีกรรมแท้จริงแล้วต่อให้ไม่ได้ทำความผิดใหญ่หลวงแต่ทว่าทุกวันๆ ทำสิ่งผิดๆอย่างละนิดอย่างละหน่อยอยู่เป็นอาจิณ นานวันเข้ากรรมนั้นก็พอจะพอกพูนสะสมจนวกกลับมาทำร้ายบุคคลผู้นั้นเอง ในทางกลับกัน มิใช่ว่าต้องสร้างวีรกรรมความดีอันยิ่งใหญ่เสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นมหากุศลบารมี ขอเพียงแต่ให้มนุษย์เพียรพยายามกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอยู่เป็นประจำ แม้ว่าจะเป็นความดีในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม นานวันอข้าในบั้นปลายก็ย่อมจะได้เสวยบุญใหญ่มีมหากุศลเช่นกัน กลัวแต่มนุษย์ทั้งหลายจะไม่ยอมทำความดีให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอเท่านั้นผู้ที่ประพฤติปฏิบ้ติธรรม สร้างแต่กรรมดีเปรียบเสมือนเป็นผู้ที่ได้พำนักอยู่ในสวนบุปผชาติ อันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์จิตใจของบุคคลผู้นั้นย่อมพบแต่ความรื่นรมย์สงบเยือกเย็น มันช่างปลอดโปร่งโล่งเยบาสบาย เป็นอิสระสุขใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ตรงกันข้าม ผู้ที่สร้างแต่บาปกรรมเลวร้ายก็เปรียบเสมือนบุคคลผู้นั้นต้องเข้าไปอยู่ในดงหนามที่แหลมคมจะทำอะไรก็ไม่อิสระ เม้แต่จะขยับเขยื้อนก้าวไปทางไหนก็ต้องหวาดผวาต้องคอยหลบๆซ่อนๆอย่างไม่สงบสุข มันช่างเป็นทุกข์อย่างเหลือที่จะพรรณนาเราอยากถามท่านทั้งหลายว่า ระหว่างสวนบุปผชาติที่รื่มรมย์กับดงหวากหนามแหลมคม พวกท่านจะเดินเข้าไปในที่แห่งใด มีบาปหนากรรมหนัก ก็สืบเนื่องจากการสะสมไว้ซึ่งความผิดเล็กๆน้อยๆมาตลอด บุญกุศลยิ่งใหญ่ ก็บังเกิดขึ้นจากการสะสมคุณงามความดีทีละเล็กละน้อยอย่างสม่ำเสมอ ขอเตือนท่านทั้งหลาย จงอย่ากระทำในสิ่งที่ละอายใจ จงเร่งรีบสร้างสมบุญกุศล ปฏิบัติธรรมให้รุดหน้าเถิด
ขอบคุณที่มาสังคมธรรมะออนไลน์
วันหนึ่งท่านยมบาลได้กล่าวกับวิญญาณ ก และวิญญาณ ข ว่า

ถึงเวลาที่เจ้าทั้งสองจะต้องไปเกิดแล้ว โดยคนหนึ่งไปเกิดเป็นคนที่มักจะหยิบยื่นทรัพย์สิ่งของให้แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ส่วนอีกคนหนึ่งไปเกิดเป็นคนที่มักจะได้รับทรัพย์สิ่งของที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้อยู่เสมอ ใครจะเลือกแบบไหนเจ้าทั้งสองไปตกลงกันเองก็แล้วกัน

วิญญาณ ก เป็นคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ท่านยมบาล ยังกล่าวไม่ทันขาดคำ ก็รีบคุกเข่าอ้อนวอนว่า “ใต้เท้าครับ ผมขอไปเกิดเป็นคนที่มักจะได้รับทรัพย์สิ่งของที่มีผู้อื่นหยิบยื่นให้อยู่เสมอ เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมานานแล้ว” วิญญาณ ข เห็นแล้วก็คงรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบตามแต่ท่านยมบาลจะจัดการ ท่านยมบาลเห็นวิญญาณ ก ยิ้มย่องผ่องใสก็หัวเราะใหญ่ พร้อมกับถอนใจว่า “สร้างกรรมใด กรรมนั้นสนอง ไม่มีผิดเลย” แล้วก็ตัดสินว่า ให้วิญญาณ ก ไปเกิดเป็นคนขอทาน จะได้ไปขอทรัพย์สิ่งของจากคนอื่น ส่วนวิญญาณ ข ไปเกิดในครอบครัวคนร่ำรวย จะได้สงเคราะห์คนอื่นอยู่เสมอ การพิจารณาคดียุติเพียงแค่นี้ เลิกศาล







ขอบคุณที่มา

สังคมธรรมะออนไลน์

ตามปกติเวลาที่เราไม่สบายส่วนใหญ่ก็ต้องรับประทานยา

เพื่อจะได้หายไวๆ แต่จนแล้วจนรอด ดันเผลอดื่มน้ำผลไม้เข้าไปอีก นั่นอาจเป็นการก่อให้เกิดอันตรายอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว

ทางคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียที่ซานฟรานซิสโก ได้เปิดเผยผลการวิจัยซึ่งบ่งว่า

น้ำผลไม้ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาของยาหมดไป เพราะก่อนที่ยานั้นจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด น้ำผลไม้จะต่อต้านการดูดซึมของยาที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว และโรคภูมิแพ้ต่างๆ รวมไปถึงยาที่ใช้กับผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่


ผลการวิจัยที่ได้รับการเปิดเผยก่อนหน้านี้ บ่งบอกถึงอันตรายของน้ำผลไม้ในแง่ที่ส่งผลต่อการรับประทานยาเช่นกัน เพราะฤทธิ์ในการทำลายเอนไซม์ในร่างกาย ที่ทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้ลดลง ทำให้ตัวยาบางชนิดรวมถึงยาที่ใช้ในการรักษา โรคความดันโลหิตและแอนติฮิสตามีน (Antihistamines) มีฤทธิ์ในการรักษารุนแรงขึ้น เพราะในบางกรณีที่ร่างกายได้รับตัวยามากเกินขนาด จะเป็นการก่อให้เกิดผลเสียต่อการรักษาและร่างกายผู้ป่วยได้




ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย: อักษรดอทคอม

ดวงตาไม่ใช่หน้าต่างของหัวใจคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

เพราะเหงือกก็อาจเป็นหน้าต่างของหัวใจอีกอย่างหนึ่งได้ ซ้ำยังเป็นหน้าต่างบานที่สำคัญกว่า ด้วยเหตุว่ามันบอกให้รู้ว่า หากเกิดเป็นรำมะนาดขึ้นเมื่อใด บอกให้รู้ได้ว่า ลิ้นหัวใจกำลังเป็นโรคด้วย



ทีมแพทย์โรคหัวใจของโรงพยาบาลมาร์เซย์ของฝรั่งเศส ได้แจ้งกับที่ประชุมหทัยวิทยาแห่งยุโรปได้พบว่าผู้ที่เหงือกเป็นรำมะนาด มักจะเป็นโรคของหลอดเลือดหัวใจด้วย และขอให้ที่ประชุมแพทย์โรคหัวใจของโลก ให้ถือว่าการเริ่มเป็นโรคเหงือกอักเสบ เป็นตัวเสี่ยงจะทำให้เกิดเป็นโรคหัวใจด้วย


หมออโศก เสธ หัวหน้าแพทย์ โรคหัวใจสถาบันโรคหัวใจและหลอดเลือดของอินเดีย

ได้กล่าวเสริมว่า “การเป็นรำมะนาดมักจะเป็นเครื่องทำนายของการเกิดโรคลิ้นหัวใจอักเสบ ได้อย่างแม่นยำที่สุด แต่เพิ่งได้รับรายงานว่ามีผลเกี่ยวโยงถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่น่าสนใจอย่างยิ่งด้วย มันอาจจะเป็นเพราะการอักเสบอันเนื่องมาแต่รำมะนาด ทำให้เกิดขึ้น

เราเชื่อกันมาว่า โรคของหลอดเลือดหัวใจมีสาเหตุมากมาย มีปัจจัยเสี่ยงเยอะแยะและที่ยังไม่ทราบก็มาก อาการเหงือกอักเสบก็อาจจะเป็นอันหนึ่ง” เขาเสริม โรครำมะนาดเหงือก เกิดจากการมีคราบมาจับสะสมรอบๆฟันก่อให้เกิดความระคายเคืองกับเหงือก การแปรงฟันและใช้ด้ายขัดฟันอาจช่วยป้องกันมันได้.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


เปิดเทอมแล้ว วันนี้เลยขอพาไปเที่ยวโรงเรียนแพทย์

อาจารย์เริ่มชั่วโมงแรกของการสอน ด้วยการพานักศึกษาใหม่เข้าห้องทดลอง ในมือของอาจารย์ถือแก้วใสใบหนึ่ง มีน้ำสีเหลืองค่อนแก้ว “นี่เป็นน้ำปัสสาวะ คนที่จะเป็นหมอ ต้องมีใจกล้าและละเอียดถี่ถ้วน” ...อาจารย์เริ่มบรรยาย “ต่อไปนี้ ขอให้ทุกคนทำตามอาจารย์ แหย่นิ้วลงไปในถ้วย แล้วยื่นนิ้วใส่ปาก จากนั้นใช้ลิ้นเลียดู” นักศึกษาใหม่ทำหน้าเหยเก หันไปมองกันเลิ่กลั่ก...ชั่วโมงแรกก็เอากันอย่างนี้เชียวเหรอ...หลายคนนึกในใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็เห็นอาจารย์แหย่นิ้วมือขวาลงไปในถ้วยปัสสาวะ ไม่ใช่แหย่เฉยๆ ยังกวนน้ำจนหมุนติ้ว แล้วชักนิ้วออกมา ยื่นนิ่วเข้าปาก ดูดเสียงดัง จ๊วบ

“อุ๊ย...” นักศึกษาครางกันเป็นแถว

แต่ทำไงได้ ไหนๆ อาจารย์ก็ลงทุนทำเป็นตัวอย่างแล้ว ลองทำตามอาจารย์ดู ยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงพากันแหย่นิ้วลงไปในถ้วยปัสสาวะ แล้วใส่ปากเลียอย่างผะอืดผะอมเมื่อทำเสร็จสรรพแล้ว อาจารย์ก็พูดพลางยิ้มแย้มว่า “พวกเธอนี่โง่จริงๆ อาจารย์บอกให้เธอใจกล้าและถ้วนถี่ ทำไมไม่มีใครสังเกตว่า อาจารย์แหย่นิ้วชี้ลงไปในถ้วยปัสสาวะ แต่ยื่นนิ้วกลางเข้าปากไม่ได้เลียนิ้วชี้สักหน่อย

การเชื่อฟังอาจารย์นั้นเป็นของดี แต่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ

ต้องมีสติและปัญญาประกอบด้วย ปัญหาก็คือ การเชื่อฟังหรือศรัทธานั้น บางครั้งก็เป็นตัวบดบังปัญญา เพราะพอวางใจเสียแล้วก็เลยไม่ยอมใช้ความคิดขณะเดียวกันก็หย่อนความสังเกต จนบางทีกลายเป็นคนเผลอเรอ สิ่งที่ควรเห็นก็เลยไม่เห็น กลายเป็นว่าทั้ง “ตาใน” และ “ตาเนื้อ” ก็พลอยถูกบดบังไปด้วยเพราะศรัทธาตัวเดียว

สภาวะอย่างนี้แหละที่ทำให้ใครต่อใครถูกหลอก

เพราะไปหลงเชื่อคนที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์ เมื่อฝากจิตฝากใจให้เขาหมด เขาจะเล่นกลอย่างไรก็ไม่เคยเห็นพิรุธสักอย่างทั้งๆ ที่สามารถจับผิดได้มากมาย หากรู้จักสังเกตมีสติตื่นตัวและคิดเป็น เป็นเพราะการเชื่อฟังอาจารย์มีจุดอ่อนดังว่า ในกาลามสูตรพระพุทธองค์จึงสอนว่าอย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะท่านผู้นั้นเป็นครูของเรา ต่อเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาจนแลเห็นด้วยตนเองว่าถูกต้อง มีประโยชน์ จึงค่อยทำตามท่าน อาจารย์ที่ดีจะไม่สบายใจเลย หากเห็นศิษย์เชื่อตนเองอย่างเชื่องๆ ท่านจะคอยกระตุกศิษย์ให้เห็นโทษของการหลงเชื่อแบบนั้น เพื่อจะได้รู้จักใช้หัวคิดของตัวเอง และมีสติตื่นตัวใฝ่สังเกตเหมือนกับที่อาจารย์หมอเรื่องข้างต้น สอนศิษย์ชนิดเห็นกันจังๆ สอนแบบนี้แหละถึงจะฝังเข้าไปในหัวแทนที่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

การเป็นคนว่าง่ายนั้นเป็นเรื่องดี

จัดว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่รู้จักคิดหรือมีความเฉลียว อาจทำให้เป็นคนเซ่อไปได้ อย่างเรื่องข้างล่าง

จิระไปพักค้างคืนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

ใกล้สถานีรถไฟ ครั้นตื่นขึ้นมาก็พบว่าสายแล้ว จึงรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าตรงไปสถานีรถไฟ แต่พอลงมาถึงล้อบบี้โรงแรมเพื่อคืนกุญแจ ก็นึกได้ว่าลืมสายสร้อยมีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือ ทิ้งไว้ในห้องน้ำ จึงบอกพนักงานโรงแรมว่า“น้อง ช่วยขึ้นไปที่ห้อง ๖๐๓ ดูว่า สายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือของพี่อยู่ที่ห้องน้ำหรือเปล่า เร็วหน่อยนะ อีก ๕ นาทีรถไฟจะออกแล้ว” พนักงานได้ยินดังนั้น ก็รีบทำตาม ไม่รอให้ลิฟต์ลงมาด้วยซ้ำ รีบวิ่งขึ้นบันไดไปถึงชั้น ๖...๓ นาทีต่อมา ก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาในสภาพมือเปล่า แล้วบอกว่า “พี่พูดถูกครับ... สายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือ ทิ้งอยู่ในห้องน้ำจริงๆ ครับ” พนักงานพูดจบ ก็พอดีได้ยินเสียงรถไฟเคลื่อนออกจากสถานี อนิจจา จิระพลาดรถไฟเที่ยวนี้!







ขอบคุณที่มา

สังคมธรรมะออนไลน์
มีอยู่วันหนึ่ง พระสงฆ์สามรูปมาพบกันโดยบังเอิญที่วัดร้างแห่งหนึ่ง“ ทำไมวัดนี้จึงสร้างได้?” ไม่รู้ว่าพระภิกษุรูปใดเริ่มต้นการสนทนา “จะต้องเป็นเพราะว่าพระสงฆ์ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนนั่นเอง! ดังนั้น พระโพธิสัตว์จึงไม่ศักคิ์สิทธิ์ ” พระภิกษุ ก กล่าวขึ้น “จะต้องเป็นเพราะว่าพระสงฆ์ไม่ขยันแน่นอน! ดังนั้น จึงขี้เกียจบูรณะวัด” พระภิกษุ ข กล่าวตาม “จะต้องเป็นเพราะว่าพระสงฆ์ศรัทธาไม่พอ ดังนั้น ผู้ที่มาถวายธูปจึงไม่มาก” พระภิกษุ ค กล่าว เถียงกันไปเถียงกันมา จึงตกลงกันว่าต่างจะทำตามวิธีของตน ดูว่าเหตุผลของใครจะถูกต้อง พระภิกษุ ก ศรัทธาอ่อนน้อมในการกราบไหว้พระ พระภิกษุ ข ปรับปรุงบูรณะสภาพวัดใหม่ พระภิกษุ ค ออกบิณฑบาต บอกบุญ ไม่นานต่อมาจากวัดร้างก็กลับมาเป็นวัดที่คึกคักด้วยผู้คนอีกครั้ง “เพราะว่าอาตมาศรัทธาอ่อนน้อมในการกราบไหว้พระสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเมตตา”พระภิกษุ ก กล่าว “เพราะอาตมาต่างหากที่ขยันขันแข็งในการบูรณะวัด วัดจึงได้งามสง่าได้เพียงนี้”พระภิกษุ ข กล่าวตาม “เพราะอาตมาออกไปบิณฑบาตบอกบุญต่างหากญาติโยมจึงได้มากถึงขนาดนี้” พระภิกษุ ค ก็ไม่ยอมแพ้จากนั้นเป็นต้นมาพระภิกษุทั้งสามก็เอาแต่ถกเถียงกัน ละเลยหน้าที่ที่ตนได้ปฏิบัติเป็นกิจวัตร สุดท้ายวัดก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ในวันที่ต่างแยกย้าย ภิกษุทั้งสามก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า “ เหตุใดวัดจึงร้าง! ”เหตุที่วัดนี้ร้างนั้น มิใช่เพราะพระสงฆ์ไม่นอบน้อมไม่ใช่เพราะพระสงฆ์ไม่ขยัน และก็ไม่ใช่พระสงฆ์ไม่ศรัทธาแต่เป็นเพราะพระสงฆ์ไม่สมานฉันท์ต่างหาก!ท่านเหลาจื่อกล่าวว่า “ไม่เคารพในปราชญ์ ผู้คนหรือจะไม่แก่งแย่ง”แก่งแย่งมาจากไหน? ก็เพราะ ลาภยศ 2 คำนี้ ด้วยเหตุนี้ เพื่อนจึงหมางเมิน พี่น้องรบรา พ่อลูกขาดสัมพันธ์ ที่สุดสิ่งที่ตอบแทนก็คือ ความล้มเหลวบ้านแตกสาแหรกขาด เหตุใดคุณธรรมจึงตกต่ำคุณธรรมภายในจึงด้อย เหตุเพราะเน้นที่ “ผลประโยชน์” เพราะผลประโยชน์ ปัญญาจึงสูญหาย! หากไม่เบาบางในเรื่องลาภยศมีหรือการเกิดตายหรือจะไปพ้น ทุกท่านว่าจริงหรือไม่?พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงบำเพ็ญธรรม แม้นมีความกลมกลืนในจิตใจ ก็จะไม่มีอาตมาลักษณะ ปุคคลลักษณะ ความกลมกลืนก่อเกิดความสามัคคีความสามัคคีก่อเกิดน้ำหนึ่งใจเดียวกันเช่นนี้ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
ขอบคุณที่มาสังคมธรรมะออนไลน์

นายจอห์น แคนเซียส นักวิจัยโรคมะเร็ง

ได้พบวิธีใหม่ ขณะทดลองกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด ด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง เขาได้พบว่าคลื่นความถี่วิทยุใช้เผาไหม้น้ำทะเลได้



ในการแสดงเพื่อทดสอบการค้นพบ ที่ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท ที่สหรัฐฯ อาจารย์วิชาเคมี นายรอสตัม รอย ได้พบว่า

คลื่นความถี่วิทยุมีพลังไปทำลายแรงเชื่อมของธาตุต่างๆที่ประกอบกันเป็นน้ำทะเลให้สลายลง ปล่อยให้ก๊าซไฮโดรเจนออกมา เมื่อจุดไฟก๊าซจะเผาไหม้ตราบเท่าที่ถูกฉายด้วยคลื่นความถี่วิทยุอยู่ เขาได้กล่าวยกย่องว่า “เป็นการค้นพบในเรื่องวิทยาศาสตร์ของน้ำ ที่เยี่ยมยอดที่สุดในศตวรรษ เพราะน้ำทะเลเป็นสารที่มีอยู่อย่างอุดมที่สุดของโลก มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ผมเห็นมันไหม้ได้ทำให้ผมถึงกับสะท้าน”



เขาแจ้งว่า ได้นัดกับเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน กระทรวงกลาโหม เพื่อจะหางบทำการวิจัยเรื่องนี้ “เพราะนักวิทยาศาสตร์ต้องการรู้ว่า พลังที่เกิดจากการเผาก๊าซไฮโดรเจน ด้วยความร้อนสูงเกิน 3,000 องศาฟาเรนไฮต์นั้น แรงพอจะใช้ขับเคลื่อนรถยนต์หรือเครื่องจักรหนักไหวหรือไม่ เราจะรวมหัวกันพิจารณาว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ และจะทำอะไรได้ต่อไป”.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปัจจุบันมีชาวอเมริกันเป็นโรคเอเอ็มดี ราว 1.2 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป

หลายคนเป็นเพราะพันธุกรรม บางคนเป็นเพราะการสูบบุหรี่ คณะนักวิจัยสถาบันตาแห่งชาติในรัฐแมรีแลนด์ศึกษาพบว่า สารในกลุ่มคาโรทีนอยด์ 2 ตัว คือ ลูทีนและซีแซนทีนช่วยป้องกันโรคนี้ได้ ขณะที่สารอาหารตัวอื่น เช่น วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนกลับไม่ให้ผลชัดเจน



นักวิจัยได้ศึกษาพฤติกรรมการรับประทานอาหารของอาสาสมัครวัย 60-80 ปี

จำนวน 4,519 คน เป็นเวลา 6 ปี พบว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนมากที่สุด มีโอกาสเป็นโรคเอเอ็มดีน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานน้อยที่สุดราวร้อยละ 35 สันนิษฐานว่า สารอาหาร 2 ตัวนี้ช่วยให้ตากรองแสงความยาวคลื่นสั้นที่เป็นอันตรายได้ และช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับจุดรับภาพที่จอตา สำหรับอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหาร 2 ตัวนี้ ได้แก่ ไข่ ผักโขม คะน้า บร็อคโคลี และข้าวโพด.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อุ้ย! ด้วยความเร่งรีบจะไปโรงเรียนหรือทำงาน คุณทำแซนวิชตกลงบนพื้นซะได้ คุณจะปล่อยมันหรือหยิบขึ้นมากิน?

ถ้าคุณเหมือนกับคนส่วนใหญ่ คุณอาจจะใช้ "กฎ 5 วินาที" หรือ "เชื้อโรคมันไม่เห็นหรอก" เพื่อจะหยิบแซนวิชดังกล่าวจากพื้นมากิน แต่คุณควรจะคิดอีกครั้ง ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า 5 วินาทีที่อาหารตกลงบนพื้นก็เป็นเวลาเพียงพอที่จะทำให้เชื้อโรคมีปริมาณมากพอที่จะทำให้คุณป่วยได้ แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่สามารถทำให้เป็นโรคได้หลายโรค แบคทีเรียบางประเภทสามารถเจริญเติบโตในอาหารได้ ถ้าคุณอาหารที่มีแบคทีเรียเหล่านี้อยู่ คุณสามารถป่วยได้ อาการโดยทั่วไปคืออาเจียนและท้องเสีย
หนึ่งในแบคทีเรียที่สามารถเจริญในอาหารได้คือ

ซัลโมเนลลา (Salmonella) เชื้อดังกล่าวทำให้ผู้คนจำนวน 1.4 ล้านคนป่วยทุกปี ปีที่ผ่านมามีคน 370 คนมีอาการไม่สบายหลังจากกินเนยถั่วที่มีเชื้อซัลโมเนลลาอยู่ เชื้อซัลโมเนลลายังพบได้บ่อยในไข่ดิบและเนื้อไก่อีกด้วย การทำให้สุกช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมเราจึงต้องทำให้ไข่ เนื้อไก่ และอาหารอื่นๆ สุกเสียก่อน

การเป็นแม่บ้านพ่อบ้านที่ดีก็เป็นเคล็ดลับอย่างที่สองเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ถ้าพื้นผิวต่างๆ ภายในบ้านไม่ได้ล้างให้หมดแล้ว มันจะที่ที่เชื้อซัลโมเนลลาเจริญเติบโตได้หลายอาทิตย์ทีเดียว แต่แบคทีเรียเหล่านี้ใช้เวลาในการเกาะกับอาหารนานเท่าไรล่ะ? เพื่อตอบคำถามนี้ ทีมงานนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคลมสันในเซาท์แคลิฟอร์เนียตัดสินใจทดสอบกฎ 5 วินาทีโดยใช้ส่วนประกอบของแซนวิช
ขั้นแรก พวกเขานำเอาเชื้อซัลโมเนลลาวางลงบนพื้นผิว 3 แบบคือไม้ กระเบื้อง และพรม จากนั้นจึงนำชิ้นขนมปังและโบโลน่าวางลงบนพื้นเหล่านี้เป็นเวลา 5, 30 และ 60 วินาที หลังจาก 5 วินาที ทั้งขนมปังและโบโลน่ามีปริมาณเชื้อซัลโมเนลลามากพอที่จะทำให้คุณป่วยได้

"ผู้ทำแซนวิชบางคนอาจจะใช้พื้นผิวเก่าต่อจากเมื่อวานเพื่อหั่นเนื้อและผักอื่น ๆ พื้นผิวเหล่านี้อาจจะดูไม่สกปรก แต่มันอาจจะมีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายบนนั้นก็ได้ครับ" พอล ดอว์สัน (Paul Dawson) นักวิทยาศาสตร์อาหารผู้นำการศึกษานี้กล่าว

ดังนั้น ลืมกฎ 5 วินาทีหรือข้ออ้างในการหยิบขึ้นมากินเถอะ ถ้าคุณทำอาหารตก คุณควรจะตักอาหารใหม่ และคราวนี้ก็ระวังให้มากขึ้น อย่าให้ตกอีกรอบแล้วกัน!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

รวมสาวสวยมากมาย

ข้อมูลนก

ปลาสวยงาม-ตู้ปลาสวยงาม-ข้อมูลปลาทะเล

อาหารสมอง-วาไรตี้

เรื่องขำขัน

สูตรอาหาร-อาหารน่ากิน-ขนมหวานน่าอร่อย

ภาพปริศนา