google search

Google

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่เลย

clock

ปฏิทิน

Blog Archive

เทคโนโลยีทันสมัย

ภาพถ่ายนักเรียนน่ารักๆ-วัยรุ่น-นักศึกษา-นางแบบ-ดารา

สาวสวยเซ็กซี่-สาวน่ารัก

วิทยาศาสตร์

รูปแปลก-ภาพแปลก-ภาพขำขำ

เรื่องน่ารู้ทั่วไป

สัตว์บก-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ -สัตว์น้ำ -สัตว์ปีก -สัตว์เลื้อยคลาน -สัตว์ในวรรณคดี

BlogRoll

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน

จระเข้ประหลาดในยุคครีเตรเซียส

Miami : สวรรค์...หรือดินแดนอาชญากรรม

ไขปริศนาปลาพญานาค

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ

การกลับมาของ "อเล็กเซย์" เมื่อราชวงศ์โรมานอฟได้คืนชีพ ?!

ปลาหมึกยักษ์ อสูรร้ายใต้สมุทร

แกะปมปริศนาลำแสงมรณะของอาร์คิมิดีส

ความเชื่อในสิ่งลึกลับ : หมอผีวูดู

นอสตราดามุส ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

ตำนานแม่มดแห่งเมือง Blair

flag

free counters

เรียวมะ ซาคาโมโต : บุรุษทรนง

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

ตำนานมนุษย์หมาป่า

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

การกลับมาของโรคระบาด

ตามหา"ไอ้ตีนโต" มนุษย์วานรดึกดำบรรพ์

มหันตภัยธรรมชาติในอนาคต

มังกรมีจริงหรือเพียงแค่ตำนาน ?

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

ปริศนารูปถ่ายของยูนิคอร์น

ภาพถ่ายวิญญาณจากต่างแดน

ภาพถ่ายวิญญาณ (ภาค2)

ภาพถ่ายศพนางเงือก

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพถ่ายวิญญาณ

เรื่องสยองที่ abac

ภาพถ่ายวิญญาณของไทย

ผีในการท่องเที่ยว

ซุปเด็กสุดสยอง

สิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ของโลก

ตัวอะไรเนี่ย

photo หน้า...น่าเกลียด

15 โรงแรมแปลก แหวกแนวสุดยอด

''โคลอสเซียม'' : สังเวียนแห่งความตาย

1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่

เปิดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ

อาถรรพณ์ปูโสม : วิญญาณเฝ้าทรัพย์

นักเล่านิทานบันลือโลก

มัมมี่แห่งศตวรรษที่ 21

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเหตุใด ?

ผู้ติดตาม

friend

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553




ถ้าคุณโกรธใครขึ้นมาแล้วไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยแก้สถานการณ์จงทำด้วยตัวเองบางทีใครคนนั้นอาจจะยังคงอยากเป็นเพื่อนกับคุณอยู่และถ้าคุณไม่ทำ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป ถ้าคุณตกหลุมรักใครสักคนแต่คนๆ นั้นไม่รู้ จงบอกเค้าไปบางทีคนๆ นั้นอาจจะกำลังรักคุณอยู่ด้วยเช่นกันและถ้าคุณไม่บอกเค้า บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายถ้าคุณอยากจะจูบใครสักคนหนึ่งเหลือเกินทำเสียสิบางทีเค้าคนนั้นอาจจะกำลังต้องการจูบของคุณอยู่ก็ได้และถ้าคุณไม่ได้ทำ บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปถ้าคุณยังคงรักใครสักคนที่คุณคิดว่าป่านนี้เค้าคงลืมคุณไปแล้วจงบอกเค้าวันนี้ บางทีเค้าอาจจะยังคงรักคุณอยู่เช่นกันถ้าคุณไม่บอกเค้าวันนี้ บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปถ้าคุณต้องการการกอดจากเพื่อนสักคนหนึ่งบอกเค้าสิ บางทีพวกเค้าอาจกำลังอยากให้คุณกอดมากกว่าที่คุณเป็นเสียอีกและถ้าคุณไม่ทำวันนี้ บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปถ้าคุณรู้สึกว่าเพื่อนคุณแสนดีเหลือเกิน จงบอกพวกเค้าด้วยเพราะเค้าเองก็อาจจะกำลังรู้สึกอย่างเดียวกับคุณเช่นกันถ้าคุณไม่ทำแล้วเค้าต้องจากไปเสียแล้ว บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไปถ้าคุณรักพ่อแม่ของคุณและยังไม่มีโอกาสแสดงออกมา ทำซะเถอะท่านยังอยู่ตรงนั้นเพื่อให้คุณได้มีโอกาสแสดงให้ท่านรู้หากท่านจากไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไปเสียแล้วไม่งั้น...บางที...พรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป
ขอบคุณสารแนดอมคอม


ความรักที่เกิดขึ้น . . .ท่ามกลางความเหงานั้น เกิดขึ้นได้ง่ายแต่การจะสานความรักต่อ. . .ให้ยืนยาวได้นั้น เป็นเรื่องยากความเหงานั้น . . . มันโดดเดี่ยวเปลี่ยนคนอ่อนไหว . . .ให้กลายเป็นคนอ่อนแอได้จนบางครั้ง . . .ต้องพยายามหาที่ยึดหัวใจไม่ให้เคว้ง ไปตามแรงกระทบของชีวิตและบางครั้ง . . .ก็อาจเผลอ ไปยึดใครสักคน. . .ที่ไม่อาจจะยึดได้เพราะเหตุผล แห่งความเป็นไปไม่ได้ ร้อยพันประการ . . .แต่ . . . เมื่อความรักได้เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ร่วมได้ หรือไม่ . . . มีสิทธิ์ครอบครอง หรือไม่ . . .ก็ไม่อาจที่จะ . . . ห้ามไม่ให้รู้สึกรักได้เมื่อในที่สุดแล้ว . . .ห้ามไม่ได้ก็อาจจะมีอีก ทางเลือกคือ . . .การปล่อยหัวใจให้ได้ รั กแต่ . . .ต้องหาที่ยืน ที่เหมาะสมให้กับตัวเองหาบริเวณ ให้ตัวเองให้ได้และหักห้ามใจไม่ให้เตลิดก้าวไปไกลจากที่ที่ตัวเองต้องอยู่ . . .นอกจาก . . .กล้าที่จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็ต้องกล้าที่จะเชื่อมั่นว่า . . .เราต้องยืนอยู่ตรงนั้นให้ได้และต้องไม่ไปไกลกว่านี้ . . .อยากอยู่ตรงไหนก็ได้ . . . แต่ต้องอยู่ในขอบเขต รักได้เท่านั้นอย่า! ไปเผลอทำร้ายใครให้เจ็บปวด . .
ขอบคุณเว็บสาระแน


เรื่อง "ขี้อาย" จึงไม่ใช่ความแปลกใหม่ของชีวิต แต่เป็นสิ่งที่ใครๆ มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดมากกว่า ซึ่ง ข้อดี ของความขี้อายมันก็มีอ่ะนะ เช่น ทำให้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย และทำให้เป็นคนมีมารยาททางสังคม แต่ ข้อเสีย ของการเป็นคนขี้อายก็มีเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเผื่อคุณอยากรู้จักมักจี่ หรือสนิทสนมผสมรักกับใครสักคนขึ้นมา แต่ไม่กล้าแสดงออกให้เค้ารู้ หรือไม่กล้าเข้าไปทักทายโอภาปราศรัยก่อน ก็ทำให้คุณเสียโอกาสที่จะคว้าใครสักคนมาเป็นแฟน... จริงไหมล่ะ ยิ่งเป็นวัยรุ่นด้วยแล้ว ปัญหาที่พบมากและพบบ่อยที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น การไม่กล้าเปิดเผยความในใจให้ "คนที่ตัวเองนึกชอบ" ล่วงรู้ความในใจน่ะสิว่า คุณรู้สึกอย่างไรกะเค้า เพราะชอบก็ไม่กล้าบอกว่าชอบ หรือหลงรักเค้าอยู่...โอ๊ะ เรื่องนี้ ยิ่งไม่กล้าพูด นี่ไม่ใช่แค่อายนะแต่กลัวเค้าไม่รับรัก ก็จะยุ่งอีนุงตุงนัง ทำให้เสียหน้า, เสียฟอร์ม และเสียความมั่นใจในตัวเอง ยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่น่ะซี เพราะฉะนั้น มาหาวิธีขจัดความขี้อาย กันเถอะ ว่าแต่...อย่าถึงกับทำให้ความรู้สึกนี้หมดไปซะเลยล่ะ ขอให้เหลือไว้บ้าง ย่อมดีกว่าไม่มีเลยนะจ๊ะ ส่วนจะลดความขี้อายไงดีนะเหรอ ก็ทำแบบนี้ไง...เช่น 1. ถามตัวเองซะก่อนว่า เรานั้นขี้อายตรงไหน แล้วแก้ให้ถูกจุด แบบอายเพราะไม่กล้าสบตาคนอื่น อายเพราะไม่กล้าเดินเข้าไปทักคนอื่นก่อน อายเพราะไม่กล้ายิ้มให้ใคร เพราะกลัวส่งยิ้มแล้วเค้าไม่ยิ้มตอบก็หน้าแตก ถ้ารู้ตัวเองว่าคุณไม่กล้าทำอะไร เห็นทีต้องใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งซะแล้วสิ อย่างถ้าอยากรู้จักใคร ก็ไม่ต้องอ้ำอึ้งทำเป็นไม่กล้าพูดไม่กล้าเข้าไปคุย แต่ควรเดินเข้าไปคุยกับเค้าเลยจ๊ะ ด้วยการแนะนำตัวคุณก่อนก็ดีว่าชื่ออะไร? แล้วค่อยถามเค้ากลับ เรื่องแค่นี้ไม่ควรจะเขินนานนะ การผูกมิตรน่ะง่ายกว่าการสร้างศัตรูซะอีก 2. ฝึกด้วยการเป็นแม่สื่อหรือพ่อสื่อให้ เพื่อนดูก่อนก็ได้ บางคนไม่กล้าไปเสวนาหรือเดินเข้าไปขายขนมจีบใครก่อนหรอก แต่ถ้าให้ช่วยเหลือเพื่อนเพื่อจีบใครล่ะก็ แหมถนัดนักล่ะ งั้นลองสวมบทบาทเป็นแม่สื่อ (หรือพ่อสื่อ) จับคู่เพื่อนที่มีใจให้กัน ให้ได้สักคู่นึงก่อน ด้วยการสังเกตว่า มีเพื่อนคนไหนบ้างที่ "ส่งใจไปหากัน" แต่ทั้งคู่กลับไม่เคยแสดงออกในเรื่องนี้ให้รับรู้กันเลย อ่ะ งั้น...ฟ้าคงส่งให้เป็นหน้าที่ของคุณซะแล้ว ที่จะช่วยให้พวกเค้าสมหวังกันสักที ทำแล้วได้บุญด้วยนะ ไม่เชื่อลองส่งเสริมรักให้เพื่อนซี้ ดูก่อนก็ได้ แล้วจะรู้สึกดีจริงๆ จ้า 3. ถ้าไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นทีต้องฝึกท่องในใจซะแล้วว่า คุณทำได้สบายมาก ความขี้อายมักเกิดมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง เช่น ไม่มั่นใจว่าถ้าแสดงพฤติกรรมอย่างงั้นอย่างงี้ออกมาแล้ว คนอื่นจะคิดยังไง? หากเป็นเช่นนี้ คุณควรลดความกลัว ที่ว่าคนอื่นจะคิดกับคุณอย่างไรออกไปบ้าง แล้วมุ่งเน้นความสนใจไปที่ความรู้สึกของคนที่คุณชอบเค้าก็พอ เพราะถ้าขืนคิดถึงคนอื่นมากไป โอกาสที่คุณจะทำอะไรเพื่อตัวเองก็มีน้อยลงเท่านั้น ดังนั้น ลองท่องประโยคที่ว่า คุณทำ...(อะไรก็ได้ที่อยากทำและเชื่อว่าทำแล้วคนที่คุณชอบจะชอบด้วย) ก็ทำเลย ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเก็บอาการอีกต่อไปแล้ว อย่าลืมสิว่า คุณทำได้! 4. อย่าคิดมาก ถ้าอยากเอาชนะใจคนที่คุณเหล่ไว้ละก็ อย่าตีโพยตีพายคิดมากและคิดเองเออเองขึ้นมาก่อนเชียวว่า สงสัยคุณคงไม่กล้าไปพูดหรือเข้าไปเจรจากะเค้าแหงเลย เพราะถ้าคิดไปก่อนแบบนี้ ไอ้ที่ไม่กล้า ก็ยิ่งไม่กล้าอยู่นั่น ทางที่ดีอย่าคิดอะไรไปในทางร้ายๆ ก่อนแค่นี้พอ แล้วเดี๋ยวความกล้าก็มาเอง 5. หากิจกรรมส่งเสริมความกล้าทำมั่ง เช่น กล้าที่จะไปเสนอรายงานหน้าชั้นเรียน, กล้าที่จะคุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เพื่อน, กล้าที่จะทำกิจกรรมของโรงเรียนหรือที่ทำงาน และอื่นๆ อีกเยอะแยะ ที่ช่วยฝึกฝนส่งเสริมให้เกิดความกล้าได้ ดังนั้นจึงอยากชวนให้ลองทำตามตัวอย่างที่ยกมาให้สักอย่าง เชื่อดิ่เดี๋ยวอาการขี้อายของคุณก็จะลดดีกรีลงไปเอง ในขณะที่ความกล้าจะเข้ามาแทนที่ เอ้า...เริ่มกล้าส่งตาหวานไปให้คนที่คุณชอบรึยังเอ่ย? 6. อย่ารุกหนักเกินไป จริงอยู่ที่ใครหากมีความมั่นใจในตัวเอง รับรองเป็นสิ่งที่เลอเลิศประเสริฐศรีดีแน่นอน แต่ความมั่นใจในตัวเองควรอยู่ในระดับพอดิบพอดี (ทางสายกลาง) ไม่น้อยไปและไม่มากจนเว่อร์เหมือนนักร้องบางคนละกันนะ เพราะเวลาที่คุณอยากไปตีซี้กะ "คนที่หมายปอง" ควรค่อยๆ เดินหน้าเข้าหานะคะ ไม่ใช่บุ่มบ่ามส่งสายตาหื่นกระหายไปให้เค้า โอ้ยขืนเป็นอย่างนี้แล้วใครที่ไหนจะอยากคบด้วยล่ะ ไม่โดนคนที่คุณส่งสายตาแทะโลมตบสักเปรี้ยงก็ดีแค่ไหนแล้ว หัดเข้าหาเค้าอย่างสุภาพดีกว่าน่า 7. อย่ากลัวถูกปฏิเสธ หากเป็นนักกีฬา คุณก็คงทำใจไว้ก่อนใช่ไหมว่า โอกาสที่คุณจะชนะหรือแพ้มีเท่าๆ กัน 50-50 ซึ่งก็เหมือนในเกมส์ของความรัก คุณคงไม่เข้าข้างตัวเองว่าคุณจะพิชิตใจ "คนที่หมายปอง" ไปซะทุกคนได้หรอกจริงมั้ย ฉะนั้นถ้ากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความรักแล้วละก็ จงระลึกเสมอว่าการที่คุณจะฉอเลาะเข้าไปจีบใครสักคน ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่วิเศษแล้ว แม้ผลลัพธ์ที่ตามมา เค้าจะรับรักคุณหรือไม่ อย่าไปหวั่นใจตรงนี้ให้มาก ถือว่าคุณได้ลองจีบเค้าอย่างดีที่สุดแล้วก็พอ อีกหน่อยอาการมือไม้สั่น ใจเต้นแรง และพูดตะกุกตะกักก็จะหายไปได้เอง ไม่เชื่อก็ลองดูซิคะ
จาก mcot

ฉันเขียนบันทึกนี้…เพื่อเป็นบทเรียนสอนตนและเพื่อเตือนให้คนที่มีโอกาสได้แวะเข้ามาอ่านได้สติว่า.....คิดให้ดี หากคุณจะเข้าไปเป็นคนรักอีกคนของใคร เพราะคิดว่าตัวเองมีค่าพอสำหรับเขาเพราะคิดว่าตัวเองน่าจะดีพอสำหรับเขา......เพราะคิดว่าจะได้รับความรักที่ดีพอจากคนอย่างเขาไม่น้อยไปกว่าอีกคนของเขา.....หรืออย่างน้อย ๆ เพราะคิดว่า....คุณจะทนกับความเจ็บปวดนี้ได้ตลอดไปคิดให้ดี...........เพราะคุณอาจคิดผิดคิดให้ดี สำหรับคนที่มีใครอยู่แล้วทั้งคน......หากคุณคิดจะมีใครเพิ่มอีกคน......คุณไม่มีวันจัดการกับปัญหาได้!.....วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าสร้างปัญหาอีกเลยเพราะยิ่งคุณพยายามจะเป็นคนดีสำหรับคนคนหนึ่งมากแค่ไหน คุณก็จะกลายเป็นคนเลวสำหรับอีกคนทันที หากคุณเจอเธอ (อีกคน) ช้าไป..และรักเธอมากพอได้โปรดปล่อยเธอไป..อย่ารั้งเธอไว้ด้วยความหวัง เผื่อวันหน้าเธออาจจะได้เจอใครที่ดี (กว่า)และสามารถรัก-ดูแลเธอได้เพียงคนเดียวสุดท้าย คนรักที่ใจร้าย...........อาจไม่ใช่คนรักที่ทิ้งเราไปเพื่ออยู่กับใครอีกคนหรอกนะแต่เป็นคนรักที่พยายามจะคบคน 2 คนในเวลาเดียวกันและพยายามยื้อเวลานั้นไว้ให้นานที่สุดต่างหากเขาทำเพื่อตัวเขาเอง เพราะเขาไม่อาจทนที่จะเสียใครได้ เพราะเขาทิ้งใครไม่ได้ เพราะเขาเจ็บไม่ได้แต่เขายอมเห็นเราเจ็บปวดได้!ในความรัก........ย่อมไม่มีใครอยากเห็นคนที่เรารักเจ็บปวดแต่หากจะให้เป็นฝ่ายยอมรับความเจ็บปวดนั้นแทนเสียเองกลับเป็นเรื่องยากที่จะมีคนยอม! นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “คนเห็นแก่ตัว”

ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้ และบางครั้งก็อาจมีคนที่คิดถึงเราโดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน บางครั้งการได้ฝันไปคนเดียวมันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า สิ่งที่เราคิดทั้งหมดมันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว ฉะนั้นไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจมกับความฝัน มากกว่าการได้รับรู้ความจริง การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้าไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4... และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า... ก็ขอให้คิดไว้ว่าดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย แต่โปรดจำไว้เถอะว่า หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า"ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว"โปรดห้ามใจเถอะก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้... ก็จงชอบต่อไปเถอะ การรักใครซักคนไม่ต้องการความพยายาม"การตัดใจ"ต่างหากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่าความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า อันไหนมันหนักหนากว่ากัน อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป... อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้... อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกันแต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อยถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ... ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป... ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง... คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...และร้องไห้ได้มากมาย... คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...ให้กลายเป็นวันที่สดใส เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ? แค่การได้เห็นคนที่เรารัก ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคนที่เค้ารักมากที่สุด นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก"อย่างจริงใจ"

สิ่งที่ต้องเตรียม
เนื้อหมู 500 กรัมหอมใหญ่ 1 หัวแครอท 2 หัวมันฝรั่ง 2 หัวเครื่องแกงกะหรี่ญี่ปุ่น 1/2 ห่อน้ำเปล่า 2 ลิตรเกลือป่น 1/3 ช้อนชาวิธีทำ
- หั่นแครอทและมันฝรั่งเป็นชิ้นพอประมาณขนาดเท่าๆ กัน- นำมันฝรั่งและแครอทไปต้มให้พอสุก โดยการต้มมันฝรั่งล่วงหน้าไปก่อนซักครู่ แล้วจึงใส่แครอทตามลงไป ต้มต่อไปอีก 20 นาที แล้วตักขึ้นเอาผ่านน้ำเย็น พักไว้- เอาเนื้อหมูมาล้างแล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเต๋าขนาดใหญ่ เตรียมไว้- หั่นหอมใหญ่เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเต๋าเล็กๆ ไว้- เอาน้ำเปล่าใส่หม้อขนาดกลาง ประมาณ 2 ลิตร เหตุที่ใส่น้ำเยอะเพราะต้องตุ๋นหมูนาน เติมเกลือป่นลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดใส่หอมใหญ่ลงไป- พอเดือดอีกครั้ง ใส่เนื้อหมูที่เตรียมไว้ลงไป ตุ๋นทิ้งไว้ประมาณ 60 นาที- พอหมูเริ่มเปื่อยแล้วก็เอาแครอทและมันฝรั่งใส่ลงไป- แบ่งเครื่องแกงกะหรี่ออกเป็นก้อนเล็กๆแล้วใช้ย้อนยีให้ยุ่ย ตักน้ำซุปลงไป คนให้ละลาย- จากนั้นยกหม้อแกงลง ค่อยๆ เทเครื่องแกงที่ละลายแล้วลงไป คนให้เข้ากัน จากนั้นยกขึ้นตั้งไฟ ตุ๋นต่อไปอีก 20 นาที ปิดไฟ ตักแกงกะหรี่ใส่ชามอุด้งที่เตรียมไว้ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย


ส่วนผสม
กุ้งแม่น้ำหรือกุ้งทะเลตัวใหญ่ ประมาณ 10 ตัว
เครื่องแกงเขียวหวานประมาณ 1/2 ถ้วย
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปึก 1 ช้อนโต๊ะ
กระชายซอยประมาณ 3/4 ถ้วย
ใบโหระพา 1 ถ้วย
พริกไทยสด 2 ช่อ
กะทิธัญพืชหรือกะทิสดสำหรับหยอดหน้า (ไม่ใส่ก็ได้)
วิธีทำ
ผัดเครื่องแกงกับน้ำมันสักครู่จนหอม ใส่กุ้งผัดพอสุกเติมน้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปึก ชิมรส ใส่กระชาย ใบโหระพา พริกไทยอ่อน ผัดให้เข้ากันและกุ้งสุก (โรยหน้ากะทิเล็กน้อยก็ได้) กินกับข้าวผัดผักชี
เครื่องแกงเขียวหวาน
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าเขียวกรีดเม็ดหั่นเป็นชิ้นสั้นประมาณ 3/4 ถ้วย
พริกขี้หนูทั้งเม็ดประมาณ 5-10 เม็ด
ตะไคร้ซอย 1/4 ถ้วย
ข่าหั่นชิ้นเล็ก 1 ช้อนชา
ผิวมะกรูดหั่นชิ้นเล็ก 2 ช้อนชา
รากผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนชา
กระเทียมกลีบเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงหั่นชิ้นเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือเล็กน้อย
วิธีทำ
ตำพริกกับเกลือให้พอเข้ากันแล้วจึงใส่ส่วนผสมอื่นๆ ตำรวมกันจนละเอียด หรือนำไปปั่นจนละเอียด ขณะปั่นใส่น้ำเล็กน้อยจะปั่นได้ละเอียดขึ้น

ส่วนผสม
แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย
น้ำร้อนจัด(แต่ไม่ต้องเดือด) 1/2 ถ้วย
ส่วนผสมไส้งาดำ
งาดำ 250 กรัม
น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
หัวกะทิ 2 ถ้วย
หางกะทิ 2 ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
ส่วนผสมน้ำขิง
ขิงแก่ฝานเป็นแว่น 7-10 แว่น
น้ำเปล่า 4 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย
วิธีทำ
คั่วงาดำให้สุกหอม แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด
ใส่งาลงกระทะทองหรือกระทะเทฟลอน เติมหัวและหางกะทิ ต้มและเคี่ยวจนกะทิแตกมัน หมั่นคนจนน้ำมันที่แตกออกมาเริ่มงวด(ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) เติมน้ำตาลทราย เกลือป่น เคี่ยวจนงาแห้งและเหนียวพอปั้นได้ ยกลงพักไว้ ให้เย็น
ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำร้อน นวดให้พอปั้นได้
ปั้นไส้งาดำเป็นก้อนกลมขนาดนิ้วหัวแม่มือ แล้งจึงปั้นแป้งที่นวดไว้ให้กลมใหญ่กว่าไส้งาดำเล็กน้อย แผ่แป้งออกเป็นแผ่นกลมบางๆ วางไส้งาดำตรงกลาง แล้วห่อไส้ให้มิด คลึงให้เป็นก้อนกลม
ต้มน้ำเดือด ใส่บัวลอยที่ปั้นไว้ลงในหม้อ เมื่อสุกแล้วแป้งจะลอยขึ้น ตักขึ้นแช่น้ำเย็นไว้ เพื่อไม่เม็ดบัวลอยติดกัน
ต้มน้ำกับขิงให้เดือด เติมน้ำตาลทรายแดง คนให้ละลาย ชิมรสหวานตามชอบ ตักบัวลอยใส่ชาม เติมน้ำขิงร้อนๆแล้วเสิร์ฟทันที

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนไทยชอบรสหวานกันมากขนาดนี้ ด้วยสถิติที่พบว่า คนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ย 16 ช้อนชาต่อวัน นับว่าหวานล้ำหน้านานาประเทศหลายช่วงตัว...สถิติที่ว่านั้น จดหมายข่าว "ต้นคิด" เดือนมกราคม ของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กล่าวในเรื่องเด่นประจำฉบับ ยังแจ้งด้วยว่าค่าเฉลี่ยการกินหวานของคนทั่วโลกอยู่ที่ 11 ช้อนชาต่อวัน และที่จริงแล้ว ปริมาณน้ำตาลระดับพอดีๆ ที่ร่างกายรับได้ในแต่ละวันนั้นอยู่ที่ 6 ช้อนชา ต่อคนต่อวันเมื่อปี 2544 คนไทยในทุกกลุ่มอายุบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ยจำนวน 29.05 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือประมาณ 2.4 กิโลกรัมต่อคนต่อเดือน หรือวันละกว่า 16 ช้อนชา เมื่อเทียบกับปี 2528 ตอนนั้นเฉลี่ย 12.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี เฉลี่ยแค่วันละ 7 ช้อนชาต่อคนนี่ย่อมแสดงว่าคนไทยกินหวานเกินพอดีมานานแล้วรายงานชิ้นนี้ชี้นิ้วไปยังแหล่งสำคัญที่ทำให้เราได้รับน้ำตาลเกินพอดีรวมถึงการกินหวานจนติดเป็นนิสัยนั้น มาจาก เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม นมพร้อมดื่มโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "นมเปรี้ยว"การกินหวานส่งผลให้เกิดโรคหลายโรคตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคฟันผุ ภาวะโภชนาการเกินที่นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ เมื่ออายุมากขึ้น เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้นถ้าไม่อยากให้ลูกหลานของเรา รวมถึงตัวเราเองต้องเผชิญโรคภัยเรื้อรังในภายหน้า ก็ต้องตั้งใจไว้ว่าจะเป็นคน "อ่อน หวาน"ให้ได้ ตั้งแต่บัดนี้เลยทีเดียว.

ส่วนผสม
แซลมอนสด หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 ซม 12-14 ชิ้น
หอมเล็กซอยบางๆ 5 หัว
ต้นหอมซอย 2 ต้น
ใบผักชีสับ 1-2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลาอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนชา
พริกป่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่วบดอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ
ใบสะระแหน่ 1-2 ใบ
วิธีทำ
ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทรายแดง พริกป่น ให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมซอย หอมแดงซอย ใบผักชีสับลงไป คนให้เข้ากับน้ำปรุง
ใส่ปลาแซลมอนลงคลุกเคล้ากับน้ำปรุงในข้อ 1 เติมข้าวคั่ว คนเบาๆ ให้เข้ากัน
จัดลาบปลาแซลมอนลงในช้อนเซรามิกให้พอดีคำ เพิ่มกลิ่นหอมและความสวยงามด้วยยอดสะระแหน่ 1-2 ใบ

ส่วนผสม (ขนาดรับประทาน 4 คน)
ปลาช่อนขนาดใหญ่ 1 ตัว
น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
ข้าวคั่วป่น 1/4 ถ้วยตวง
หัวหอมซอย 1/4 ถ้วยตวง
ผักชีใบยาวหั่นหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ
ใบสะระแหน่ 2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมหั่นหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ
แครอทหั่นเป็นเส้นยาว 1/4 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูป่น 1 ช้อนชาพูน
ผักต่างๆ ประกอบด้วย ต้นหอม สะระแหน่ ใบโหระพา ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ฯลฯ
วิธีทำ
ปลาช่อนทำความสะอาดแล้ว แล่เอาแต่เนื้อทั้งสองด้าน หั่นเป็นชิ้นขนาดใหญ่ ทอดในน้ำมันร้อนจัดไฟปานกลางให้เหลืองสวย ตักขึ้นพักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน
ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว เกลือป่น ข้าวคั่ว เข้าด้วยกัน ก่อนจะรับประทาน นำปลาที่ทอดไว้มายีด้วยส้อมพอกระจายตัว ใส่หอมซอย และเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงเคล้าให้ทั่ว ใส่ผักชีใบยาวที่หั่นไว้ลงพร้อมกับใบสะระแหน่ ต้นหอมหั่นหยาบๆ และ แครอท โรยพริกป่น แล้วชิมดูรสที่ต้องการ เสิร์ฟพร้อมกับผักชนิดต่างๆ

ส่วนผสม
ถั่วเขียว 1 ถ้วย
ถั่วแดง 1 ถ้วย
ถั่วดำ 1 ถ้วย น้ำประมาณ 15 ถ้วย
น้ำตาลกรวด หรือ น้ำตาลทราย 2–3 ขีด
วิธีทำ
แช่ถั่วในน้ำเดือด จนน้ำที่แช่เย็นสนิท (แยกถั่วแต่ละชนิดแช่ อย่าแช่รวมกัน) ล้างให้สะอาด
นำถั่วแต่ละอย่างใส่หม้อ เติมน้ำประมาณ 5 ถ้วย ตั้งไฟต้มพอเดือด หรี่ไฟ ต้มจนถั่วเปื่อยจึงใส่น้ำตาล พอหวาน
เวลาเสิร์ฟตักถั่วอย่างละหน่อยใส่ชาม เสิร์ฟร้อนๆ
video

http://7eb8aadf.linkbucks.com

video

video


【☆木下優樹菜☆】ヤンキー時代にやっちゃった動画

http://5b2aef28.linkbucks.com





http://1525fe20.linkbucks.com

http://f696781b.linkbucks.com
Japanese girl show amazing sexy body

video

http://d5951ae9.linkbucks.com
The best girl on youtube

VIDEO

http://711eb5a3.linkbucks.com
Cute Ass Japanese Gravure Idol

VIDEO

http://cfffedb5.linkbucks.com
HOT HIP Sayaka Tashiro Japanese Gravure Idol SEXY PRETTY

VIDEO

http://393d199b.linkbucks.com

รวมสาวสวยมากมาย

ข้อมูลนก

ปลาสวยงาม-ตู้ปลาสวยงาม-ข้อมูลปลาทะเล

อาหารสมอง-วาไรตี้

เรื่องขำขัน

สูตรอาหาร-อาหารน่ากิน-ขนมหวานน่าอร่อย

ภาพปริศนา