google search

Google

สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่นี่เลย

clock

ปฏิทิน

Blog Archive

เทคโนโลยีทันสมัย

ภาพถ่ายนักเรียนน่ารักๆ-วัยรุ่น-นักศึกษา-นางแบบ-ดารา

สาวสวยเซ็กซี่-สาวน่ารัก

วิทยาศาสตร์

รูปแปลก-ภาพแปลก-ภาพขำขำ

เรื่องน่ารู้ทั่วไป

สัตว์บก-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ -สัตว์น้ำ -สัตว์ปีก -สัตว์เลื้อยคลาน -สัตว์ในวรรณคดี

BlogRoll

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน

จระเข้ประหลาดในยุคครีเตรเซียส

Miami : สวรรค์...หรือดินแดนอาชญากรรม

ไขปริศนาปลาพญานาค

7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ

การกลับมาของ "อเล็กเซย์" เมื่อราชวงศ์โรมานอฟได้คืนชีพ ?!

ปลาหมึกยักษ์ อสูรร้ายใต้สมุทร

แกะปมปริศนาลำแสงมรณะของอาร์คิมิดีส

ความเชื่อในสิ่งลึกลับ : หมอผีวูดู

นอสตราดามุส ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

ตำนานแม่มดแห่งเมือง Blair

flag

free counters

เรียวมะ ซาคาโมโต : บุรุษทรนง

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

ตำนานมนุษย์หมาป่า

สยามประเทศ ก่อนปรากฏบนแผนที่โลก

การกลับมาของโรคระบาด

ตามหา"ไอ้ตีนโต" มนุษย์วานรดึกดำบรรพ์

มหันตภัยธรรมชาติในอนาคต

มังกรมีจริงหรือเพียงแค่ตำนาน ?

สูตรลึกลับของเครื่องดื่ม โคคา-โคล่า

ปริศนารูปถ่ายของยูนิคอร์น

ภาพถ่ายวิญญาณจากต่างแดน

ภาพถ่ายวิญญาณ (ภาค2)

ภาพถ่ายศพนางเงือก

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ภาพถ่ายวิญญาณ

เรื่องสยองที่ abac

ภาพถ่ายวิญญาณของไทย

ผีในการท่องเที่ยว

ซุปเด็กสุดสยอง

สิ่งก่อสร้างที่น่ามหัศจรรย์ของโลก

ตัวอะไรเนี่ย

photo หน้า...น่าเกลียด

15 โรงแรมแปลก แหวกแนวสุดยอด

''โคลอสเซียม'' : สังเวียนแห่งความตาย

1 วัน ไม่ได้มี 24 ชั่วโมง ( A day is 23 hours 56 minutes 4 seconds )

"นาซ่า"มั่นใจดาวอังคาร เคยมีน้ำ-เดินหน้าหาสิ่งมีชีวิต

ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่

เปิดตำนานกรุสมบัติวัดราชบูรณะ

อาถรรพณ์ปูโสม : วิญญาณเฝ้าทรัพย์

นักเล่านิทานบันลือโลก

มัมมี่แห่งศตวรรษที่ 21

ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เพราะเหตุใด ?

ผู้ติดตาม

friend

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553



หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต




กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร




จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต



Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์




65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย



มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า


Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง




คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซื่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน




พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก




ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน




โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง




The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร



เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก




สุดยอดเทคโนโลยีทางวิศวกรรมในทศวรรษนี้คือเทคโนโลยีการสร้าง "หุ่นยนต์" เป้าหมายระยะยาวก็คือสร้างให้มันเหมือนมนุษย์มากที่สุดหรือเป็นหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ (Humanoid) ที่ก้าวหน้ากว่า "อาซิโม" ของฮอนด้า และคิวริโอของโซนี่

ปัจจุบันนักนักวิจัยหลายทีมสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่เดินได้อย่างมนุษย์แล้ว บางทีมสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ นักวิจัยของนาซาสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่รับรู้สิ่งต่างๆ ได้




ปี 2005 มีหลักฐานมากมายที่แสดงว่าโลกร้อนขึ้นจากภาวะเรือนกระจกซึ่งเป็นฝีมือของมนุษย์ หลักฐานที่ว่าได้แก่ ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วและในปริมาณที่มากจนน่าตกใจ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น การอพยพของสัตว์ และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายสายพันธุ์ลดจำนวนลง น้ำในทะเลสาบในซีกโลกเหนือ 125 แห่งแห้งขอด เกิดพายุเฮอร์ริเคนที่รุนแรงในมหาสมุทรแอตแลนติก และเกิดความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ของโลก อาทิ ลุ่มน้ำอะเมซอน




ความก้าวหน้าอย่างที่สุดของสาขาชีววิทยาในช่วงสองทศวรรษคือการศึกษาจีโนม พิมพ์เขียวของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเรียกง่ายๆ ว่าดีเอ็นเอ หรือสารพันธุกรรม

โครงการ Human Genome Project ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ประเทศต่างๆ หลายร้อยคนเพื่อ "ถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์" เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น นอกจากนั้น ความก้าวหน้าของการศึกษาจีโนมอีกอย่างหนึ่งคือการศึกษาจีโนมข้าว

ทว่าปี 2005 เป็นปีที่เด่นของการศึกษาจีโนม เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการถอดรหัสจีโนม หรือดีเอ็นเอของลิงชิมแปนซี ญาติใกล้ชิดที่สุดของมนุษย์




เป็นข่าวให้ตื่นเต้นกันอยู่ทุกปีกับการค้นพบดาวเคราะห์น้อยที่มีวิถีโคจรซึ่งอาจจะชนโลกในอนาคต ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง โลกเราจะต้องถูกดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางดวงใดดวงหนึ่งชน และหนทางที่จะปกป้องโลกของเราได้คือต้องรู้องค์ประกอบของหินอวกาศก่อนเพื่อที่จะทำลายมันได้อย่างถูกวิธี เมื่อยานดีฟอิมแพกต์เดินทางไปปล่อยยานลูกให้พุ่งชนดาวหางเทมเพล 1 เพื่อศึกษาองค์ประกอบของดาวหางจึงเป็นเรื่องที่คนทั่วโลกให้ความสนใจกันมาก

วันนี้นักวิทยาศาสตร์และมนุษย์อวกาศกำลังเรียกร้องให้นาซาทำการสำรวจดาวเคราะห์น้อย อะโพฟิส (Apophis) ขนาด 390 เมตร ซึ่งมีโอกาสชนโลกในปี 2036 การชนของมันจะมีอำนาจทำลายล้างมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาถึง 100,000 เท่า




จะว่าเป็นการค้นพบทางดาราศาสตร์ก็ว่าได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นการยืนยันทฤษฎีการกำเนิดหลุมดำทฤษฎีหนึ่งที่อธิบายว่าหลุมดำแบบหนึ่งเกิดจากดาวนิวตรอนรวมตัวกัน

นักดาราศาสตร์พบว่ามันเป็นจริง เมื่อกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินหลายกล้องตรวจพบการระเบิดอย่างรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2.2 พันล้านปีก่อน แต่แสงเพิ่งเดินทางมาถึงโลก มันเกิดจากดาวนิวตรอนสองดวงรวมตัวกันเป็นหลุมดำ




รอคอยกันมานานถึง 10 ปี ในที่สุด เจฟ มาร์ซี และพอล บัตเลอร์ กับทีมงานก็ทำสำเร็จ ด้วยการค้นพบดาวเคราะห์หิน "ซุปเปอร์ เอิร์ธ" ซึ่งมีมวลมากกว่ามวลของโลก 7.5 เท่า ที่ดาวฤกษ์ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 15 ปีแสง

การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะชี้ว่าอาจมีดาวเคราะห์หินขนาดเท่าโลกอยู่ทั่วไปในจักรวาล และนั่นหมายถึงว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่ทั่วไปในจักรวาลด้วย มาร์ซีกล่าวหลังการค้นพบว่า "ผมจินตนาการว่าดาวฤกษ์ส่วนใหญ่มีดาวเคราะห์หินเหมือนโลกเป็นบริวาร"



การสำรวจดาวอังคารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก ปัจจุบันมียานอวกาศอยู่ที่นั่นถึง 3 ลำ และยังมีรถหุ่นยนต์สำรวจ "สปิริต" และ "ออพพอร์จูนิตี้" ปฏิบัติการอยู่ด้วย

นักวิทยาศาสตร์พบสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร นั่นคือพบก๊าซมีเทนในบรรยากาศซึ่งอาจมาจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กใต้พื้นผิวปล่อยก๊าซนี้ออกมา ต่อมาค้นพบว่ามีน้ำแข็งใต้พื้นผิวในบริเวณที่มีก๊าซมีเทน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน้ำแข็งคือแหล่งของน้ำที่เป็นของเหลวซึ่งสนับสนุนการกำเนิดสิ่งมีชีวิต








วันหนึ่งมนุษย์จะสามารถควบคุมแขนขาเทียมให้ทำงานด้วยการสั่งการของสมองเหมือนสมองควบคุมแขนขาของมนุษย์จริงๆ ได้

งานวิจัยขั้นต้นทำโดยการติดตั้งแขนกลกับลิง ผลปรากฏว่าสมองของลิงสามารถสั่งการให้แขนกลหยิบผลไม้ได้โดยผ่านทางคอมพิวเตอร์ที่ติดไว้กับสมอง การศึกษาเพิ่มเติมพบว่าลิงมีปฏิกิริยาต่อแขนเทียมเสมือนเป็นแขนจริง งานวิจัยนี้มีความน่าสนใจจนกองทัพสหรัฐต้องแถลงว่าการวิจัยเพิ่มเติมจะต้องป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก




ไม่ผิดความคาดหมาย นาโนเทคโนโลยียังอยู่ในความสนใจลำดับต้นๆ ของคนทั่วไป นาโนเทคโนโลยีคือเทคโนโลยีในการประกอบและผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียงอะตอม หรือโมเลกุล เข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำ และถูกต้องในระดับนาโนเมตร

นาโนเทคโนโลยีจะทำให้โลกเปลี่ยนไป ในอนาคตเราจะมีหุ่นยนต์จิ๋วขนาดเท่าไวรัส ไปทำลายไวรัสในร่างกายมนุษย์ หรือไปจับแยกออกจากเม็ดเลือดขาวเพื่อรักษาโรคเอดส์ได้ คอมพิวเตอร์จะเร็วขึ้นล้านเท่า การไขปริศนาโรคภัยไข้เจ็บ ความเป็นอมตะ การสร้างอาหารที่ไม่มีวันหมด การกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงทุกมุมโลก การเพาะพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์ขึ้นใหม่ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างเต็มที่ และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ อีกมากมาย




ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ยืนยาว หรือเป็นอมตะ ดังนั้นงานวิจัยเพื่อหาหนทางที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์มีชีวิตยืนยาวขึ้นจึงเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ได้รับความสนใจกันมาก

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ความแก่ของมนุษย์สามารถแก้ไขได้ ปัจจุบันมีรางวัล The Methuselah Mouse Prize ของมูลนิธิ Methuselah Foundation ซึ่งเป็นเงินสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ให้นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่จะชะลอความแก่หรือทำลายกระบวนการที่ทำให้มนุษย์แก่ลงโดยการทดลองกับหนูเพื่อให้มันมีชีวิตยืนยาวขึ้น ซึ่งจะเผยความลับการชะลอความแก่ของมนุษย์

งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอมีผลต่อความแก่ของหนู งานวิจัยอีกชิ้นแสดงว่าจะชะลอความความอ่อนแอของกระดูก

ดร.ซินเธีย เคนยอน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เป็นไปได้ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงยีนของมนุษย์และจะทำให้ชีวิตคนเรายืนยาวเท่าตัว





พระศรีญาณโสภณ (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช)
วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร

การผูกอาฆาตพยาบาท จองเวร ให้ผลข้ามภพข้ามชาติ

ถ้าเราเปรียบภพชาติเหมือนคืนวัน การนอนหลับเหมือนการตาย การตื่นนอนเหมือนการเกิด ภพชาติก็ใกล้ตัวเราเข้ามา

การผูกอาฆาตพยาบาทเหมือนการเข้านอนโดยไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หลับก็ไม่เป็นสุข ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น

ในแต่ละวัน จิตของเราเก็บเกี่ยวเฉี่ยวโฉบอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา นินทา อาฆาต พยาบาท ขุ่นแค้น ขัดเคือง นานาชนิดเอาไว้

ถ้าไม่มีวิธีชำระก็จะเกิดสนิมใจขึ้นมา กระทั่งไม่อาจนอนได้อย่างมีความสุขหากไม่ชำระร่างกายฉันใด ใจที่ไม่ถูกชำระจะทำให้ฝันร้าย อารมณ์หงุดหงิดหลับไม่สนิท ฉันนั้น

การแสดงอภัยทานเป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยากหากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติ

เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผล ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติว่า ให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด และยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วย

เราต้องถามตนเองก่อนว่า เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกันคนๆ นั้นเพียงภพนี้ หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกในชาติต่อๆ ไป

เราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้า เรามีสิทธิเสรีในตัวเราที่จะหยุดหรือสร้างเหตุต่อไปอีก

บางคน รักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติ

บางคนก็อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ก็ไม่ยกโทษ ในที่สุดผลของการไม่ยกโทษ คือไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา

การให้อภัย จะทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่างๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย

การให้อภัยคือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์

อภัยทานนั้นเวลาจะให้ไม่ต้องไปขอใคร ไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกระเป๋าให้ แต่ให้อภัย เราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย

ขอให้เราภูมิใจเถิด เมื่อมีใครมาขอโทษ เมื่อมีใครให้อภัยเรา หรือเมื่อสำนึกได้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอโทษกัน

การขอโทษ หรือการให้อภัย มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้ มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาด เหมือนภาชนะสกปรก ก็ชำระล้างให้สะอาด

ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหน เราต้องการความทรงจำที่เลวร้าย หรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต

เราต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุข มีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบ หรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจด้วยความทุกข์และกังวลใจ สิ่งเหล่านี้กำหนดได้ที่ตัวเราเอง กำหนดวิธีคิดให้ถูกต้อง

ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิด

คิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้

ขอให้เรามาคิดดูว่า ในชีวิตของเราคนหนึ่ง อย่างเก่งก็อยู่ได้ ๗๕ ปี เกินนี้ไปถือเป็นกำไรชีวิต ทำไมเราจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระ ทำไมเราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก เราอาจคิดว่า การให้อภัยบ่อยๆ แก่คนบางคน เขาอาจจะไม่ปรับตัว ยังก่อเหตุอยู่เสมอๆ งานก็ไม่สำเร็จ ยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิม นั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงาน

แต่สำหรับเหตุผลของใจนั่น เมื่อให้อภัย ใจเราก็เบา

การยกโทษ อาจดูเหมือนเรายอม เราไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วจะทำให้เขากำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบ

ความจริงไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ "อภัยทาน" อันเป็น "ทานบารมี" ที่สูงส่ง การยอมแพ้อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพชาติ

ขอให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เวลาเราโกรธ เกลียด พยาบาทใคร สีหน้าของเราจะเปลี่ยนไป เลือดในร่างกายจะผิดระบบ เช่น เวลาโกรธจัด จิตที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ร้าย ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันคือ ความรุ่มร้อนไม่พอใจ ทำอะไรก็กังวลเป็นทุกข์

แต่พอยกโทษให้ ก็จะรู้สึกทันทีว่า ยิ้มได้ จิตเบาสบาย ที่เปรียบกันว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกจิตเป็นอิสระทันทีเพราะหมดห่วง หมดทุกข์ หมดสนิมที่จะกัดกร่อนจิตใจ

วิธีคิด มีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคน เรามักได้ยินเสมอๆ ว่า แพ้หรือชนะอยู่ที่กำลังใจ แท้จริงแล้ว คำว่า "กำลังใจ" ก็คือวิธีคิดนั่นเอง พลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือการที่ "ใจ" มีกำลัง

มนุษย์เราจึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกัน กำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมด ยิ่งเราให้คนอื่นได้มากเท่าไหร่ กำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแก่เรามากเท่านั้น เหมือนวิชาความรู้ ยิ่งให้ยิ่งพอกพูน ยิ่งหวงไว้เฉพาะตัวก็ยิ่งหดหาย

การให้อภัย อาจพูดง่าย แต่ทำยาก แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะใจไม่อยากทำ แต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราฝืนใจทำ และจะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อครวญคำนึงถึง

การตอบรับซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นความดี เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไปแต่ถ้าเป็นความเกลียด ความโกรธ สิ่งที่จะตามมา คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อน เพื่อป้องกันจิตเรามิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ เราอาจคิดเสมือนหนึ่งไม่ได้มีเขาอยู่ในโลกนี้เลยก็ได้ การให้อภัยเขา คือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง

ก็เมื่อแม้แต่รัก ท่านยังสอนให้เราละทิ้ง มิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้



ขอบคุณบทความจากhttp://www.dhammajak.net/
หนังสือ "อภัยทาน" ในhttp://www.kanlayanatam.com/sara/sara85.htm




พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย

พระพุทธองค์ผู้ทรงพระเมตตาบรรดาสัตว์ไม่เลือกหน้า ทรงพระกรุณาสอนให้รู้จักโทษของการไม่มีศีล แล้วทรงแสดงคุณของศีลว่า

ศีลเป็นคุณค้ำจุนโลกไว้มิให้ก้าวเข้าไปสู่ความหายนะ
ศีลเป็นของเย็นดับยุคเข็ญของโลกได้โดยเด็ดขาด
ศีลยังสามารถอุปถัมภ์ค้ำชูโลกไว้มิให้หวั่นไหวเอนไปตามความชั่วทุจริต
ศีลเป็นของพระเสริฐสูงสุดในมนุษยโลกแลเทวโลก

ศีลเท่านั้นเป็นเครื่องตัดสินว่า ใครเป็นคนดีใครเป็นคนเลว

แต่มันแปลกประหลาดมาก

ถือแม้ว่าศีลจะเป็นของดีเลิศ แต่บุคคลผู้อยากดี ยังไม่อยากเอาศีลมาวัดความดีของตนอยู่ก็เยอะ

ยิ่งร้ายกว่านั้น บางคนยังความชั่วชั้นเลวมาวัดว่าเป็นความดีเด่นกว่าคนอื่นก็มีหรือจะเอาศีลมาวัดความดีของตนจนเป็นที่ภูมิใจแล้วตาม

มาตอนหลังๆ ศีลจึงเป็นเครื่องวัดความดีนั้นกลับตรงข้าม คือเห็นว่าศีลไม่ดีไปเสีย หรือเห็นว่าเป็นของดีอยู่บ้างแต่ความดีนั้นมากไปก็มี

เช่น

ผู้ที่ศีล ๕ มองคุณค่าของศีลว่าเป็นของดีมีคุณค่าเลิศก็พยายามที่จะเพิ่มศีล คือความดีของตนให้มากขึ้นเป็นลำดับ
มีศีล ๕ แล้วอยากมีศีล ๘
มี ๘ แล้วอยากมี ๑๐
มี ๒๒๗ เป็นลำดับไป

แต่บางทีผู้มี ๒๒๗ แล้ว ก็ลดลงมาให้ยังเหลือ ๑๐ เหลือ ๘ เหลือ ๕ หรือไม่มีเหลือเลย ดังนี้ก็มี



ที่มาคัดลอกบางตอนมาจาก : ประมวลแนวปฏิบัติธรรม ของพระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จ. หนองคาย, จัดพิมพ์โดยคณะศิษยานุศิษย์,
พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๑๙๒-๑๙๓
และhttp://www.dhammajak.net/





ทุกวันนี้คนไทยเข้าวัดกันเพราะอะไรคะ บางคนอาจตั้งใจมาทำบุญอย่างแท้จริงและทำเป็นกิจวัตร บางคนมาดูหมอดู มาหาหวย มาเที่ยว และกว่าครึ่งเพราะทุกข์ใจจึงเข้าวัดเพราะบางคนถึงกับไต่ถามกันว่าเป็นอะไรถึงต้องเข้าวัด

ทำไมต้องรอให้มีเรื่องทุกข์ เรื่องไม่สบายเกิดขึ้นก่อนถึงจะนึกถึงวัดล่ะคะ

วัดในทางพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๕ ความหมาย คือ

๑. วัตถุ
หมายถึง โบสถ์, วิหาร, เจดีย์, พิธีต่าง ๆ รวมทั้งพระภิกษุ - สามเณรที่อยู่วัด เป็นต้น

๒. วัด
หมายถึง การวัดจิตวัดใจ วัดพฤติกรรมของตน โดยมีธรรมะเป็นเครื่องวัด

๓. วัฏฏะ
หมายถึง การหมุนเวียน ได้แก่ วัฏฏสงสาร คือ การเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่ในกองทุกข์

๔. วัตร
หมายถึง การประพฤติปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น การรักษาศีล เป็นต้น

๕. วัฒน์
หมายถึง พัฒนาให้ก้าวหน้า เป็นการเข้าถึงความเจริญก้าวหน้าสูงสุดของมนุษย์ คือ ถึงซึ่งพระนิพพาน

ตอนนี้พวกเราชาวพุทธ ได้เข้าถึงวัดที่แท้จริงแล้วหรือยัง ?...สาธุ



ที่มาhttp://www.dhammajak.net/




ชีวิต เป็นของน้อย.

ชีวิต ได้แก่ อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเคลื่อนไหว ความเป็นไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์.

ชีวิตน้อยโดยเหตุ ๒ ประการ คือ
ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ๑
ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อย ๑.

ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยเป็นอย่างไร?

ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิตเป็นอดีต ย่อมไม่เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่.
ชีวิตจักเป็นอยู่ ในขณะจิตเป็นอนาคต ย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว.
ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบัน ไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่.


สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ชีวิต อัตภาพ สุขและทุกข์ทั้งมวล เป็นธรรมประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน
เทวดาเหล่าใดย่อมตั้งอยู่ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัป เทวดาเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ประกอบด้วยจิตสองดวงดำรงอยู่เลย

ขันธ์เหล่าใดของสัตว์ผู้ตายหรือของสัตว์ที่เป็นอยู่ในโลกนี้ดับแล้ว
ขันธ์เหล่านั้นทั้งปวงเทียว เป็นเช่นเดียวกันดับไปแล้ว มิได้สืบเนื่องกัน

ขันธ์เหล่าใด แตกไปแล้วในอดีตเป็นลำดับและขันธ์เหล่าใดแตกไปแล้วในอนาคตเป็นลำดับ
ความแปลกกันแห่งขันธ์ทั้งหลาย ที่ดับไปในปัจจุบันกับด้วยขันธ์เหล่านั้น ย่อมมิได้มีในลักษณะ

สัตว์ไม่เกิดแล้วด้วยอนาคตขันธ์ ย่อมเป็นอยู่ด้วยปัจจุบันขันธ์

สัตว์โลกตายแล้วเพราะความแตกแห่งจิต นี้เป็นบัญญัติทางปรมัตถ์
ขันธ์ทั้งหลายแปรไปโดยฉันทะ ย่อมเป็นไป ดุจน้ำไหลไปตามที่ลุ่ม
ฉะนั้นย่อมเป็นไปตามวาระ อันไม่ขาดสายเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัย

ขันธ์ทั้งหลายแตกแล้ว มิได้ถึงความตั้งอยู่ กองขันธ์มิได้มีในอนาคต
ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่ เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม ฉะนั้น

ก็ความแตกแห่งธรรมขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วนั้นสกัดอยู่ข้างหน้าแห่งสัตว์เหล่านั้น
ขันธ์ทั้งหลายมีความทำลายเป็นปกติ มิได้รวมกับขันธ์ที่เกิดก่อน ย่อมตั้งอยู่

ขันธ์ทั้งหลายมาโดยไม่ปรากฏ แตกแล้วก็ไปสู่ที่ไม่ปรากฏ ย่อมเกิดขึ้นและเสื่อมไป เหมือนสายฟ้าแลบในอากาศ ฉะนั้น.

ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยอย่างนี้.


ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างไร?

ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจออก
ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้า
ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจออกและลมหายใจเข้า
ชีวิตเนื่องด้วยมหาภูตรูป
ชีวิตเนื่องด้วยไออุ่น
ชีวิตเนื่องด้วยอาหารที่กลืนกิน
ชีวิตเนื่องด้วยวิญญาณ.

กรัชกายอันเป็นที่ตั้งแห่งลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ก็ดี
อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน และภพอันเป็นเหตุเดิม แห่งลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ก็ดี ปัจจัยทั้งหลายก็ดี ตัณหาอันเป็นแดนเกิดก่อนก็ดี
รูปธรรมและอรูปธรรมที่เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ก็ดี
อรูปธรรมที่ประกอบกันแห่งลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ก็ดี
ขันธ์ที่เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ก็ดี

ตัณหาอันประกอบกันก็ดีก็มีกำลังทราม
ธรรมเหล่านี้มีกำลังทรามเป็นนิตย์ต่อกันและกัน มิได้ตั้งมั่นต่อกันและกัน ย่อมยังกันและกันให้ตกไป

เพราะความต้านทานมิได้มีแก่กันและกัน ธรรมเหล่านี้จึงไม่ดำรงกันและกันไว้ได้

ธรรมใดให้ธรรมเหล่านี้เกิดแล้ว ธรรมนั้นมิได้มี ก็แต่ธรรมอย่างหนึ่งมิได้เสื่อมไปเพราะธรรมอย่างหนึ่ง ก็ขันธ์เหล่านี้แตกไปเสื่อมไปโดยอาการทั้งปวง


ขันธ์เหล่านี้อันเหตุปัจจัยมีในก่อนให้เกิดแล้ว แม้เหตุปัจจัยอันเกิดก่อนเหล่าใด เหตุปัจจัยเหล่านั้นก็ตายไปแล้วในก่อน

ขันธ์ที่เกิดก่อนก็ดี ขันธ์ที่เกิดภายหลังก็ดี มิได้เห็นกันและกันในกาลไหนๆ

ฉะนั้น ชีวิตจึงชื่อว่าเป็นของน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างนี้.


อนึ่ง
เพราะเทียบชีวิตของเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา ชีวิตมนุษย์ก็น้อยคือ เล็กน้อยนิดหน่อย เป็นไปชั่วขณะ เป็นไปพลัน เป็นไปชั่วกาลบัดเดี๋ยวเดียว ตั้งอยู่ไม่ช้า ไม่ดำรงอยู่นาน.

เพราะเทียบชีวิตของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ... เพราะเทียบชีวิตของเทวดาชั้นยามา ... เพราะเทียบชีวิตของเทวดาชั้นดุสิต ... เพราะเทียบชีวิตของเทวดาชั้นนิมมานรดี ... เพราะเทียบชีวิตของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ... เพราะเทียบชีวิตของเทวดาที่เนื่องในหมู่พรหม ชีวิตมนุษย์น้อย
คือ เล็กน้อย นิดหน่อย เป็นไปชั่วขณะ เป็นไปพลัน เป็นไปชั่วกาลบัดเดี๋ยวเดียว ตั้งอยู่ไม่ช้าดำรงอยู่ไม่นาน.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของพวกมนุษย์นี้น้อยจำต้องละไปสู่ปรโลก มนุษย์ทั้งหลายจำต้องประสบความตายตามที่รู้กันอยู่แล้ว ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีมนุษย์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดย่อมเป็นอยู่นานผู้นั้นก็เป็นอยู่ได้เพียง ๑๐๐ ปี หรือที่เกินกว่า ๑๐๐ ปี ก็มีน้อย.

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

อายุของพวกมนุษย์น้อย บุรุษผู้ใคร่ความดี พึงดูหมิ่นอายุที่น้อยนี้ พึงรีบประพฤติให้เหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น เพราะภาวะความ
ตาย จะไม่มาถึงมิได้มี วันคืนย่อมล่วงเลยไป ชีวิตก็กระชั้นเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำ
น้อยย่อมสิ้นไป ฉะนั้น.



ที่มาhttp://www.dhammajak.net/






ประวัติศาสตร์ ได้สอนให้รู้ความเกิด ความเจริญ และความเสื่อมของชาติและบุคคลต่าง ๆ ในอดีตที่สืบมาจนถึงปัจจุบัน คราวนี้กลับมานึกถึงประวัติชีวิต ทุก ๆ คนมีชีวิตดำเนินมาถึงปัจจุบัน เหมือนหนึ่งได้ยืนอยู่ในจุดปัจจุบันของชีวิต เมื่อระลึกย้อนไปในอดีตก็จะเห็นว่า ชีวิตได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามาก ถ้าเป็นเด็กก็อาจจะยังผ่านมาน้อย เพราะเป็นระยะตั้งต้นซึ่งกำลังจะเริ่มเจริญ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ย่อมจะต้องผ่านมามาก เหตุการณ์เหล่านี้เมื่อสรุปลงแล้วก็ได้แก่ โลกธรรม (ธรรมคือเรื่องสำหรับโลก) ต่าง ๆ ได้แก่ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ ความเสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์

โลกธรรมเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนาก็มี ไม่น่าปรารถนาก็มี แต่ทุก ๆ คนก็ต้องประสบมาโดยลำดับ แม้ในชีวิตปัจจุบัน ทุก ๆ คนก็กำลังประสบอยู่ คือกำลังประสบในส่วนได้ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข) บ้าง ในส่วนเสีย (เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) บ้าง ในชีวิตอนาคตก็ต้องประสบเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ทุก ๆ คน จึงยิ้มย่องผ่องใสบ้าง เศร้าหมองบ้าง อยู่ตลอดไป และบางคนเมื่อได้หรือเมื่อขึ้นก็มัวเมาโลดขึ้นไปอย่างลืมตัว เมื่อเสียหรือเมื่อตก ก็เหมือนตกเหว คือรู้สึกว่าตกเอาจริง ๆ ถึงตายหรือเกือบตาย

นึกถึงคนไข้ ปรอทฉูดขึ้นฉูดลง แสดงว่าไข้หนัก น่าอันตราย คนที่มีจิตใจขึ้นลงเพราะโลกธรรมก็เช่นเดียวกัน เว้นไว้แต่ผู้ที่ได้สดับธรรมของพระพุทธเจ้า และรักษาจิตใจไว้ได้ไม่ให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรมจนเกินสมควร ถึงจะหวั่นไหวไปบ้างเหมือนอย่างเป็นไข้ธรรมดาก็ยังไม่เป็นไร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลกธรรม คือเรื่องของโลกตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่พึงเกิดแก่บุคคลทุกทั่วหน้า แม้พระอรหันต์ก็ไม่พ้นไปจากโลกธรรม ดังเช่นพระพุทธองค์เอง บางคราวก็ถูกพวกมิจฉาทิฏฐิ ด่าว่ากล่าวหาต่าง ๆ แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเห็น ตระหนักในความเป็นจริงของโลกธรรมว่า ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา จึงไม่ทรงข้องติดอยู่ในโลกธรรมทุกอย่าง และโลกธรรมทุกอย่างก็ไม่สามารถครอบงำพระทัยพระองค์ได้ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ทั้งทรงสั่งสอนให้ทุก ๆ คนทราบตระหนักว่า เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ทั้งที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนาเป็นโลกธรรม ซึ่งอาจครอบงำใจของคนเขลา เพราะทำให้ฉูดขึ้น ฉูดลง ผลก็คือต้องเสียหายเพราะโลกธรรมทั้งขึ้นทั้งลง แต่ไม่อาจครอบงำใจของผู้มีสติรู้เห็นตามเป็นจริงได้

ความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ส่วนตนและส่วนรวม ตลอดถึงที่เรียกว่าเหตุการณ์ของโลก ได้เกิดขึ้นบางทีก็รวดเร็วอย่างไม่นึก ถึงกับทำให้คนทั้งปวงพากันตะลึงงันก็มี เหตุการณ์ในวันนี้เป็นอย่างนี้ แต่วันพรุ่งนี้เล่า ยากที่จะคาดว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้ยังอยู่ดี ๆ พรุ่งนี้มีข่าวออกมาว่าสิ้นชีพเสียแล้วก็มี เมื่อวานนี้ระเบิดกันตูมตามอยู่ วันนี้ประกาศออกไปว่าหยุดระเบิดส่วนใหญ่ก็มี วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรอีกก็ยากที่จะทราบ ความเปลี่ยนแปลงของโลกดังนี้ ผู้ที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นเป็นของแปลก ถ้าโลกจักหยุดเปลี่ยนแปลงนั่นแหละจึงจะแปลก ซึ่งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะขึ้นชื่อว่าโลกแล้วต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ที่เรียกว่า ความเปลี่ยนแปลง นั้น คือเหตุการณ์อย่างหนึ่งดับไป เหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นแทน ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงก็คือ ความดับ - เกิด หรือ ความเกิด - ดับ ของสิ่งทั้งหลาย นี้เป็นวิบากคือเป็นผล ถ้าเป็นผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็มีคำเรียกว่า ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ซึ่งจะยกไว้ไม่พูดถึงในที่นี้ จะพูดถึงแต่ที่เกี่ยวกับบุคคล คือที่บุคคลก่อขึ้นเอง

อันเหตุการณ์ที่คนก่อให้เกิดขึ้นนั้น นับว่าเป็น กรรมของคน หมายความว่า การที่คนทำขึ้น ไม่ใช่หมายความว่ากรรมเก่าอะไรที่ไม่รู้ กรรมคือการกระทำที่รู้ ๆ อยู่นี่แหละ เมื่อก่อขึ้นด้วยกิเลส ก็เป็นเหตุทำลายล้าง แต่เมื่อก่อขึ้นด้วยธรรม ก็เป็นเหตุเกื้อกูลให้เกิดความสุข เหตุการณ์ส่วนใหญ่ของโลกนั้น มีขึ้นด้วยกิเลสหรือกรรมของคนไม่มากคนนัก แต่มีผลถึงคนทั้งปวงมากมาย ถ้าจะถามว่า กิเลสซึ่งนับว่าอธรรมกับธรรม นั้น ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างกัน ตรงกันข้ามกัน ใคร ๆ ก็น่าจะมองเห็น แต่ไฉนจึงยังใช้กิเลสกันอยู่ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่น ๆ จะช่วยให้คนใช้ธรรมกันให้มากกว่านี้มิได้หรือ ถ้ามีคำถามมาดังนี้ ก็น่าจะมีคำถามย้อนไปบ้างว่า เมื่อเป็นสิ่งที่น่ามองเห็นกันง่ายดังนั้นทำไมใคร ๆ จึงไม่สนใจที่จะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ากันให้มากขึ้นเล่า

พระพุทธศาสนาพร้อมที่จะช่วยทุก ๆ คนอยู่ทุกขณะ แต่เมื่อใครปิดประตูใจไม่เปิดรับธรรม พระพุทธศาสนาก็เข้าไปช่วยไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ โลกจึงต้องปราบกันลงไปด้วยกำลังต่าง ๆ แม้ฝ่ายถูกก็ต้องใช้กำลังแก่ฝ่ายผิด นับว่าเป็นเรื่องของโลก ซึ่งมีวุ่นวายมีสงบสลับกันไป และมนุษย์เรานั้น แม้มีกำลังกายด้อยกว่าช้าง ม้า เป็นต้น แต่มีกำลังปัญญาสูงกว่า กำลังปัญญานี้เองที่สร้างแสนยานุภาพได้ยิ่งใหญ่ ทั้งสร้างระบอบธรรมอย่างดีวิเศษขึ้นด้วย ฉะนั้น ในขณะที่มีจิตใจได้สำนึกได้สติขึ้น แม้จะหลังที่ตีกันมาพักใหญ่แล้ว ก็จะเป็นโอกาสที่มีปัญญา มองเห็นธรรม และกลับมาใช้ธรรมสร้างความเจริญและความสุขกันต่อไป..........


(บางส่วนของบทความ โลกและชีวิตในพุทธธรรม จากหนังสือ สิริมงคลของชีวิต ...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
ที่มาhttp://www.dhammajak.net/































































































รวมสาวสวยมากมาย

ข้อมูลนก

ปลาสวยงาม-ตู้ปลาสวยงาม-ข้อมูลปลาทะเล

อาหารสมอง-วาไรตี้

เรื่องขำขัน

สูตรอาหาร-อาหารน่ากิน-ขนมหวานน่าอร่อย

ภาพปริศนา